สวัสดีครับ กลับมาพบกับโยทุกวันศุกร์ วันนี้ขอแชร์เรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจ กรณี “พิมรี่พาย” ผมขอยกให้เป็น #TOPSALE นักขายฝีปากทอง ของไทยในยุคนี้
พูดถึงผู้หญิงคนนี้ส่วนใหญ่ก็รู้จักกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขาย เรื่องการทำบุญช่วยเหลือคน และล่าสุดก็มีค่ายเพลง และทำเพลงออกมา เรียกได้ว่า ครบ จบ
เป็นธรรมดาของสังคมไทย เมื่อมีชื่อเสียง และทำดีออกหน้า ก็ย่อมเป็นที่จับตามองของคนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในแวดวงการเมือง เพราะการทำดีของพิมรี่พาย อาจจะไปขัดแย้งกับภาพที่ประชาชนเห็นจากที่รัฐบาลทำ เลยเกิดการเปรียบเทียบ ยิ่งทำให้พิมรี่พายเกิดความไม่สบายใจขึ้นได้ แต่เธอก็เดินหน้าขายของ และสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้คนในสังคมไทยต่อไป โดยที่ไม่สนใจ (ลึกๆ เธอก็สนใจอยู่แหละ แต่ไม่อยากไปยุ่งเท่าไหร่)
จนมาถึงวัน ประเด็นร้อนแรงล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อโทนี่ (“ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย) ได้พูดคุยในคลับเฮาส์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในหัวข้อ “CARE Clubhouse x CARE Talk #เป็นไงวัยรุ่น : ปลดล็อกยูนีคสกิลสู่ยุคใหม่ของวัยเยาวรุ่น กับ Tony Woodsome” โดยในบางช่วงบางตอนทักษิณพูดถึงในประเด็นว่า
“ภายในเรือนจำเขามีสนามฟุตบอล มีโรงอาหาร เราสามารถเปลี่ยนมาเป็นโรงพยาบาลสนามชั่วคราวได้หรือไม่ หรือถ้าตั้ง (รพ.สนาม) มันแพง ก็ไปขอพิมรี่พายตั้งให้ พอตั้งแล้วก็เอาคนออกมาตรงนั้นซะ และไปทยอยฉีดวัคซีน”
ทำให้ พิมรี่พาย ออกมาตอบโต้ พูดผ่านการไลฟ์สดขายสินค้า มีใจความประมาณว่า
“คุณโทนี่ที่ฉันพูดถึงก็คือคุณทักษิณ ชินวัตร พูดถึงดิฉันเมื่อคืน ดิฉันไม่ทราบเพราะดิฉันไม่ได้ไปเล่นโซเชียลอะไร ดิฉันไม่ว่าง ดิฉันทำงาน ดิฉันทำบุญ มีคนส่งคลิปมาให้ดิฉันเยอะมาก ดิฉันขอพูดหน่อยนะคะ ท่านอยู่ข้างนอกประเทศ ท่านจะพูดอะไรก็ได้ แต่คนข้างในประเทศจะซวยเอา ได้โปรดอย่าลากดิฉันไปเกี่ยวข้องนะคะ กราบขอร้อง ทุกๆ คน หรือทุกๆ สื่อ ดิฉันยังอยากทำบุญต่อ อย่าให้ดิฉันซวยเลยค่ะ ท่านพูดทีหนึ่งอีกฝั่งก็ด่าดิฉัน ดิฉันรู้เรื่องไหมคะ ยืนขายปลาร้า ก็โดนด่า มันใช่เรื่องไหม ทำความดีต้องมาโดนด่าไหมเพราะว่ามึ…พูด ดิฉันอยากอยู่ในประเทศนะคะ ดิฉันไม่อยากจะไปตายที่ต่างประเทศ อยากอยู่ต่อ อยากทำความดีต่อ ขอความกรุณาเลิกเอาดิฉันไปเป็นเครื่องมือเหน็บแนม อย่าแปลเจตนาดิฉันผิด ขอบพระคุณค่ะ”
แน่นอนครับ ประเด็นนี้ภาพชัดออกไปทางการเมือง สำหรับคนบนโลกออนไลน์มีเสียงแตกออกเป็นหลายทาง บ้างก็มองว่าโทนี่ต้องการแค่แซะรัฐบาลที่บริหารจัดการอะไรไม่ได้ ให้ไปขอความช่วยเหลือพิมรี่พาย เหมือนเป็นการชื่นชมพิมรี่พายซะด้วยซ้ำ บางคนก็เห็นด้วยและชื่นชมพิมรี่พายทำพูดออกไปแบบนั้น แน่นอนสิ่งที่ออกไปนั้นย่อมมีคนที่ชอบ และไม่ชอบ และยังมีอีกหลายประโยคที่สื่อสารออกไป
ผ่านไป 1 คืน พิมรี่พาย กลับมาใหม่ เมื่อ 20 พ.ค. 64 ได้ไลฟ์สดชี้แจง และกราบขอโทษลุงโทนี่ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “หลังจากพูดพาดพิงไป โดยชี้แจงแล้วเมื่อวานว่าไม่อยากเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร ซึ่งสืบเนื่องจากไลฟ์สดเมื่อวานนี้ อยากบอกว่าหากพูดจาพาดพิงถึงคุณทักษิณหรือลุงโทนี่ ด้วยถ้อยคำที่ขาดสติ ทำให้ประชาชนไม่พอใจ พิมจึงอยากพูดแบบเด็กพูดกับผู้ใหญ่ว่า กราบขอโทษคุณทักษิณ และประชาชนที่พิมปากไว และจากนี้จะพูดจาและไตร่ตรองให้มากกว่านี้ โดยจะเป็นเด็กที่น่ารักกว่านี้
แล้ว “พิมรี่พาย” นักขายฝีปากทอง เอี่ยวการเมือง ยอดขายจะตกไหม
ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำมาค้าขาย ในเมื่อเราเป็นคนทำมาค้าขาย ก็มีอยู่ไม่กี่เรื่องที่แบรนด์ หรือคนขายไม่จำเป็นไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว คือ
1.การเมือง
2.ศาสนา
ถ้าทำ Content สื่อสารออกไปแล้วผิดพลาด สิ่งที่กลับมาอาจจะไม่ดีนักกับแบรนด์ แม้จะมีเหตุผลสักร้อยแปดพันเก้า แต่ถ้าพลาดไปแล้วภาพจำจะเป็นลบในทันที
กรณีพิมรี่พาย ถ้าพูดตรงๆ ยอดขายยังไม่ตกง่ายๆ ยังถือว่าโชคดีที่มีฐานคนที่รัก และเอ็นดูอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ถ้าพลาดบ่อยๆ ก็อาจจะไม่มีโชคดีแบบนี้อีก
จริงๆ แล้วการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง กับศาสนาไม่ใช่เรื่องผิด และเป็นเสรีภาพของทุกคนในการแสดงความคิดเห็น แต่ในเรื่องของการขาย หรือทำแบรนด์ จำเป็นจะต้องแสดงออกให้เป็นกลาง ไม่สร้างคอนเทนต์ หรือสื่อสารให้เกิดความแตกแยกขึ้นมา การแชร์โพสต์เกี่ยวกับการเมืองศาสนานั้นเป็นเรื่องที่อ่อนไหวต่อสังคม ไม่งั้นอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ เพราะงั้นเราจึงต้องระมัดระวังให้ดี ไม่งั้นอาจจะมีทัวร์ลงได้
น้อยคนขาย หรือน้อยแบรนด์ ที่จะประสบความสำเร็จหากเอาแบรนด์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ลองนึกดูดีๆนะครับ คนเห็นดีเห็นงามกับเราในทางการเมือง อาจจะไม่ใช่ลูกค้าเรา ลูกค้าเราอาจจะอยู่ฝ่ายที่เห็นต่างก็เป็นได้
ทิ้งท้าย….อย่าทำการตลาดแบบนี้เลย เพราะถ้าเมื่อไหร่ทัวร์ลง ถึงแม้จะมีโอกาสแก้ตัว แต่ก็จะไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะมาก