ตัวเลขสิทธิ์คงเหลือจากโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ของรัฐบาลที่หวังจะเป็นมาตรการอีกชิ้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในช่วงโควิด-19 ระบาดระลอก 3 พบว่ามีตัวเลขหยุดนิ่งอยู่ที่ 3,712,864 สิทธิ์ ตัวเลขที่ไม่เคยโกหก และมันทำให้เห็นภาพในโครงการนี้ว่าไม่ปัง เท่าที่ควร
เพราะตัวเลขที่รัฐบาลต้องการเปิดให้คนไทยที่สนใจกับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ด้วยการไปจับจ่ายใช้สอยตามห้างร้าน และจะได้ e-Voucher กลับคืนมาสูงสุดถึง 7,000 บาท คือมีสิทธิ์ให้ถึง 4 ล้านสิทธิ์ แต่เพียงแค่วันแรกของการเปิดลงทะเบียน ยอดลงทะเบียนใช้สิทธิ์มีเพียงแค่ 287,136 สิทธิ์เท่านั้น
เมื่อมองไปถึงสาเหตุต่างๆ ที่อาจทำให้โครงการไม่ได้โดนใจคนไทยเท่าที่ควร ก็อาจจะพูดยากและอาจถูกมองได้ว่าเป็นการเร็วเกินไปที่จะตัดสินโครงการนี้ เพราะเพิ่งเปิดลงทะเบียนไปเพียงแค่วันเดียว อีกทั้งการประชาสัมพันธ์อาจจะไม่หนักหน่วงเหมือนโครงการก่อนๆ ก็อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนอาจจะไม่รู้จักมากพอ หรือกลายเป็นไม่สนใจไปเลย แต่อะไรที่คุ้นชินกว่า อย่าง คนละครึ่ง ก็ได้รับความสนใจมากกว่า แม้ว่าจะไม่ปังเหมือนกับครั้งก่อนๆ เช่นกัน
กระนั้น ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ อาจจะเป็นการเกาไม่ถูกที่คันอย่างหนักสำหรับรัฐบาล เพราะมองในแง่ของสายป่านการจับจ่ายใช้สอย เชื่อว่าชั่วโมงนี้มันคงยากมากหากจะให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้อของบริโภคต่างๆ ในจำนวนเงินหลักหมื่นบาท เพราะนาทีนี้เงินหมื่นเงินพัน มันมีความหมายอย่างมากต่อครอบครัวคนไทยแทบจะทุกครัวเรือน
และการกระตุ้นให้ออกไปซื้อของสิ ยิ่งซื้อก็ยิ่งได้ เพราะจะได้เงินกลับคืนมาสูงสุดถึง 7,000 บาท กับการจับจ่ายซื้อของที่ต้องแลกมาด้วยเงิน 6 หมื่นบาท แม้อาจจะมองว่ามันไม่ใช่เงินน้อยๆ ที่ได้กลับมา ซึ่งหลายคนก็คงรู้ดีแต่การจะให้ไปควักเงินซื้อของปานนั้น อาจจะเป็นเรื่องยาก
บวกกับการเปิดรายชื่อของห้างร้าน ห้างสรรพสินค้า โมเดิร์นเทรดต่างๆ ก็เห็นภาพที่ชัดเจนว่า กลุ่มคนที่รัฐบาลต้องการให้มาใช้สิทธิ์ยิ่งใช้ยิ่งได้ คงเป็นกลุ่มชนชั้นกลางระดับบนขึ้นไปที่พอมีกำลังซื้อของในตลาดบน เพราะรายชื่อห้างร้านก็เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่า 38 ร้านค้า ถือเป็นห้างใหญ่ที่พร้อมจะรับการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้จากข้อเสนอของรัฐบาลผ่านโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งประกอบไปด้วย
1. ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ทุกสาขา, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์
2. เอ็มโพเรียม
3. เอ็มควอเทียร์
4. พารากอน
5. ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลทุกสาขา
6. ห้างสรรพสินค้าโรบินสันทุกสาขา
7. ห้างสรรพสินค้าโลตัสทุกสาขา
8. ห้างสรรพสินค้าแม็คโครทุกสาขา
9. ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีทุกสาขา และมินิบิ๊กซีทุกสาขา
10. ท็อปมาเก็ตทุกสาขา
11. ท็อปเดลิเวอรี่
12. ร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น
13. แฟมมิลี่มาร์ท
14. home fresh mart
15. Gourmet Market
16. Cantral food hall
17. thai favourites
18. looks discover your best look
19. pure pharmacy
20. ร้าน coffe world
21. ร้าน inthanin
22. ร้านกาแฟพันธุ์ไทย
23. ร้านเชฟยิ้ม
24. BETAGRO
25. เบทาโกร ช็อป
26. Amway
27. NUSKIN
28. PETSTER
29. แว่นท็อปเจริญ
30. B2S
31. OfficeMaie
32. Supersports
33. FIT sports
34. Global house
35. Megr home
36. ไทวัสดุ
37. Homepro
38. บุญถาวร
ซึ่งแน่นอนว่าร้านค้ามีตัวเลือกให้หลากหลาย ตั้งแต่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เรื่อยมาจนถึงร้านค้าวัสดุก่อสร้าง รวมไปถึงร้านหนังสือ ร้านแว่นก็ได้รับอานิสงส์นี้ไปด้วย จากนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าคนที่ไทยจะไปลงใช้สิทธิ์ครบ 4 ล้านสิทธิ์หรือเปล่า และลงแล้วจะตัดสินใจควักเงินพันเงินหมื่นจากกระเป๋าไปจับจ่ายซื้อของ เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบห้างร้านขนาดใหญ่ และคนใช้ก็ได้รับสิทธิ์ e – Voucher เงินคืนเข้ากระเป๋า
แต่จากการวิเคราะห์ทำให้เห็นภาพว่า หากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ยังคงเป็นเช่นนี้อยู่ ประชาชนระวังการใช้จ่ายเงินมากขึ้น แน่นอนว่ามันจะส่งผลเสียต่อโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้อย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าคนมีกำลังซื้อสูงๆ ต้องการใช้จ่ายเงินจะหันมาเล่นกับโครงการนี้เอาบ้าง ก็คงพอทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในตลาดระดับบนได้บ้างเหมือนกัน
หากมองในอีกด้าน สิ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานรากได้มากกว่า แน่นอนว่ารัฐบาลก็หวังจากโครงการคนละครึ่งที่ปล่อยตัวมาไล่ๆ กัน ในเฟส 3 ว่าจะช่วยให้เงินหมุนเวียนดีมากขึ้น แม่ค้าพ่อค้าได้ขายของ แต่สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ อาจจะเป็นความหวังที่ยากเกินไป เพราะคนชั้นกลางส่วนใหญ่ก็มนุษย์เงินเดือนที่ยังเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้สำหรับความมั่นคงในหน้าที่การงานสำหรับช่วงนี้ การจะเอาลงทะเบียนเอาสิทธิ์ยิ่งใช้ยิ่งได้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ทำให้ส่อเค้าว่าโครงการนี้ หากรัฐบาลจะมุ่งเป้าและโยนความหวังมาที่มนุษย์เงินเดือนจะไปจับจ่ายซื้อของ ก็อาจจะเป็นการเสียของ แต่หากเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ตรงกับคนรวย คนเงินหนาในสังคมไทยที่พร้อมจะจ่ายเงิน ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่น่าจะเห็นแสงสว่างของเศรษฐกิจได้ดีกว่า
หรืออีกทาง หากรัฐบาลอยากกระตุ้นกันจริงๆ อาจลองเอา “เราเที่ยวด้วยกัน” มาลองปัดฝุ่นดูอีกครั้ง ควบคู่ไปกับการเดินหน้าปูพรมฉีดวัคซีนให้คนไทยครอบคลุม 70% ของประชากร หรือให้ครบ 100 ล้านโดสให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ โครงการไปเที่ยวและให้สิทธิต่างๆ นี่แหล่ะ ที่จะถูกใจคนไทยมากกว่า