ในเวลานี้คณะรัฐมนตรีกำลังอยู่ในช่วงประชุมข้อสรุปผลการเยียวยา ซึ่งได้กำหนดทิศทางเบื้องต้นไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ทุกคนก็ยังรอบทสรุปนี้อยู่ด้วยความคาดหวังว่า รัฐบาลจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาเพิ่มเติมได้หรือไม่ ในช่วงที่ต้องล็อกดาวน์ตัวเองอยู่กับบ้านแบบนี้
.
ซึ่งทางผู้มีส่วนกำหนดมาตรการเยียวยา ก็ให้คำมั่นว่าจะพยามเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้ครอบคลุมทุกกลุ่มด้วยความรวดเร็วที่สุด โดยงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการเยียวยารอบนี้ จะมาจากพระราชบัญญัติเงินกู้ 5 แสนล้านบาท เพราะงบประมาณรายจ่ายประจำปีไม่เพียงพอต่อการเยียวยาประชาชนอยู่แล้ว
.
วันนี้เราเลยจะพามาส่องมาตรการเยียวยาของแต่ละประเทศว่า พวกเขาดูแลประชาชนของตัวเองกันยังไง ในสภาวะที่แต่ละประเทศต่างก็ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดนี้เหมือนๆกัน
สหรัฐอเมริกา
- กองทุนช่วยเหลือร้านอาหาร (Restaurant Revitalization Fund)
มูลค่า 28,600 ล้านเหรียญสหรัฐ
- เยียวยาธุรกิจอาหารสูงสุด 10 ล้านเหรียญต่อธุรกิจ
- งบประมาณ 9,500 ล้านเหรียญ เยียวยาผู้ประกอบการที่มีรายได้ไม่เกิน 50,000 เหรียญต่อปี
- (American Rescue Plan) มูลค่า 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
- เยียวยา 1,400 เหรียญ ให้ทุกคนที่มีฐานภาษีไม่เกิน 75,000 เหรียญสหรัฐต่อปี
- เยียวยาครอบครัวที่มีเด็กต่ำกว่า 18 รายเดือนเป็นเวลา 1 ปีเต็ม
- ช่วยเหลือคนว่างงาน 300 เหรียญต่อสัปดาห์ไปจนถึงวันที่ 6 กันยายน 2021
- ช่วยเหลือ Sme และร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบ 28,600 ล้านเหรียญ
- จัดสรรงบประมาณ 7 หมื่นล้านเหรียญ เพื่อเพิ่มโครงการตรวจโควิด-19
มาเลเซีย
- เยียวยาไปแล้วกว่า 340,000 ล้านริงกิตเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
- อัดฉีดงบประมาณเพิ่ม 40,000 ล้านริงกิต โดยแจกเงินเป็นจำนวน 2,100 ล้านริงกิต
- และคาดว่าจะอัดเงินเพิ่ม 150,000 ล้านริงกิต เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว
- รวมถึงอัดฉีดงบทางการคลังอีก 10,000 ล้านริงกิต
ออสเตรเลีย
- รัฐวิตอเรียต้องล็อกดาวน์เพิ่ม 1 เดือน รัฐช่วยเหลือ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ
สิงคโปร์
- กระทรวงการคลังและกรมสรรพากรทุ่มงบ 2,200 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
เพื่อเยียวยาลูกจ้างภายใต้โครงการ Jobs Support Scheme (JSS)
- ธุรกิจการบินและการท่องเที่ยวจะได้รับเงินช่วยเหลือ 50% จากเงินเดือน
- ธุรกิจอาหาร ความบันเทิง การขนส่ง สิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรมทางทะเล 30%
- ภาคส่วนอื่นๆจะได้รับในอัตรา 10%
- จัดสรรงบเพิ่มกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
เพื่อช่วยธุรกิจการบิน ท่องเที่ยวและแรงงาน ซึ่งได้รับเงินเยียวยา 50% ของเงินเดือน
ซึ่งก่อนหน้านี้ได้สูงถึง 75% ของเงินเดือน แต่เพราะเงินคงคลังเหลือน้อยจึงต้องลด