สินค้าความงาม ยังคงพุ่งทะยานท้าโควิด


ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในสิ่งที่มนุษย์ต่างก็ใส่ใจมาเป็นเวลานมนานหลายศตวรรษก็คือ ความสวย ความงาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเสริมสร้างความมั่นใจ ตอบสนองความปรารถนาภายในที่ต้องการให้ตนเองดูดีอยู่ตลอดเวลา และถ้าพูดถึงความงาม สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับความงาม ก็คงจะเป็นสิ่งแรกๆที่พวกเขาหรือเธอกำลังมองหา เพื่อช่วยให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น
.
สินค้าความงามเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องได้จับต้องก่อนจะซื้อเพื่อการตัดสินใจ

โดยปกติแล้ว ผลิตภัณฑ์ความงามมียอดซื้อขายมาจากหน้าร้านสูงถึง 85% เพราะเครื่องสำอางเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ทุกคนอยากมีโอกาสได้ลองสัมผัส ลองทดสอบ ก่อนจะมีการตัดสินใจซื้อจริง ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ ธุรกิจความงามได้รับผลกระทบจากโรคระบาดนี้ไปตามๆกัน เมื่อหน้าร้านที่สามารถเดินไปเลือกชมสินค้าได้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งอาจจะเนื่องด้วยความกลัวโรคระบาด ทั้งอัตราการลดลงของหน้าร้านที่ขยับมาเล่นตลาดออนไลน์มากขึ้น
.
หน้ากากอนามัย ส่งผลให้มีปัญหากับการแต่งหน้า

เนื่องจากโควิด-19 เป็นโรคที่ทำให้การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิม ทุกคนทั่วโลกจำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด และนั่นจึงทำให้เกิดปัญหาการสะสมสิ่งสกปรกและทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้า ทั้งจากเครื่องสำอางหรือการสัมผัสของผิวหน้ากับหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
.

สินค้าความงามที่จะมีอัตราเติบโตสวนกระแสในช่วงโควิด

จากที่ได้กล่าวไป นั่นจึงทำให้ สินค้าความงาม “เพื่อการดูแลรักษาใบหน้า” หรือ “Skin Care” ได้รับความสนใจสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากความต้องการที่อยากจะมีผิวพรรณที่ดีได้โดยไม่จำเป็นต้องแต่งหน้า บวกกับความเครียดจากหลายปัจจัย ทำให้สินค้าหมวดนี้ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ
.
ควบคู่ไปกับ “ผลิตภัณฑ์ที่สามารถเสริมความงามได้ด้วยตัวเอง” ซึ่งนั่นก็มีผลมาจากการถูกพักกิจการจากการ ล็อกดาวน์ ที่ทำให้ผู้บริโภคจำเป็นต้องเสริมความงามด้วยตนเองมากขึ้น และแม้ว่าในช่วงเวลาที่มีการคลายล็อกดาวน์แล้ว ผู้บริโภคก็ยังคงกังวลกับโรคระบาด และเริ่มปรับตัวกับการดูแลตัวเองได้ระดับนึงแล้ว ทำให้สินค้าหมวดนี้ก็ยังคงโตได้ต่อเนื่องต่อไป
.
และจากการที่เราต้องใส่หน้ากากอยู่บ่อยครั้ง ทำให้สินค้าที่ป้องกันสิวจากการสัมผัสระหว่างใบหน้ากับหน้ากาก หรือที่เรียกว่า (Maskne) เป็นที่ต้องการสูง หลายแบรนด์เริ่มขยับมาสนใจและเริ่มพัฒนาสินค้าที่สามารถป้องกันการเกิดสิว ซึ่งสามารถระบายอากาศได้ดีพร้อมป้องกันแบคทีเรียได้ไปในคราวเดียวกัน
.

นั่นจึงทำให้ ตลาด E-Commerce เป็นเป้าหมายที่ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อต่างให้ความสำคัญ

  • จากการสำรวจผล คาดว่าธุรกิจความงามจะเติบโตเฉลี่ยเพิ่มขึ้นละ 2% ตั้งแต่ปี 2563-2566
  • ยอดขายของสินค้าในหมวดความงามบน Com เพิ่มขึ้นในอัตรา 100% ในปี 2563 เมื่อเทียบกับปี 2562
  • ตลาดธุรกิจความงามขนาดใหญ่ คือ จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดียและบราซิลตามลำดับ

ด้วยความจำเป็นที่จะต้องก้าวกระโดดไปสู่ตลาดออนไลน์อย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกแบรนด์ต่างสรรหาวิธีที่จะดึงฐานลูกค้าทั้งจากฐานเดิม ที่ให้ความเชื่อมั่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และฐานลูกค้าใหม่ ที่มีโอกาสพบเจอจากการรีวิวหรือการค้นหาข้อมูลด้วยตนเอง จนเกิดการทดลองใช้ครั้งแรก

.

อันจะเห็นได้จากการเริ่มใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเช่น AR , VR และเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ผู้บริโภคได้ลองแต่งหน้าเสมือนจริง ผ่านการใช้สมาร์ทโฟน การได้ลองสินค้าหลายเฉดสีในคราวเดียวกัน ซึ่งเทคโนโลยีช่วยเหลือหลายรูปแบบเป็นการตัดปัญหาที่ลูกค้าจะต้องไปลองใช้สินค้าจริงที่หน้าร้าน

.

ซึ่งการอยู่ในโลกออนไลน์ ยิ่งช่วยติดเครื่องมือที่สามารถแสดงผลพฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อให้เข้าใจความต้องการและเทรนด์การบริโภค สถิติเหล่านี้ทำให้ร้านค้าสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายของตนได้ชัดเจนมากขึ้น ตรงเป้าตรงกลุ่มผู้บริโภคที่แบรนด์กำลังมองหาอยู่ ด้วยตัวเลขที่จับต้องได้จริง นั่นจึงถือเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการที่มองเห็น สามารถดึงเอาความได้เปรียบนี้มาเป็นแต้มต่อให้กับตนเองได้

.

ทิศทางตลาดเครื่องสำอางไทยในปี 2564

เกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย ประเมินแนวโน้มตลาดเครื่องสำอาง ปีนี้จะเติบโตอย่างต่ำ 3% ซึ่งนับเป็นการฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ด้วยจำนวนยอดออเดอร์สินค้าจากต่างประเทศมีการเติบโตมูลค่าสูงถึง 6,000-7,000 ล้านดอลลาร์ 
.
“ส่วนตลาดในประเทศ ปฏิเสธไม่ได้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคยังรักสวยรักงาม ยิ่งกว่านั้นมาพร้อมกับการดูแลสุขอนามัยเข้นข้นขึ้น แม้อยู่บ้านก็ยังต้องดูแลผิวพรรณ อาบน้ำ ทำความสะอาดผม ส่งผลให้สินค้าหมวดดูแลผิวพรรณหรือสกินแคร์ ยังขยายตัว รวมถึงหมวดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมมีการเติบโตได้ โดยทั้ง 2 หมวดยังเป็นตลาดใหญ่มูลค่า 80,000 ล้านบาท และ 30,000 ล้านบาทตามลำดับ”
.
“ตลาดเครื่องสำอางมีการเติบโตมาโดยตลอด แต่ปี 2564 เป็นครั้งแรกที่เจอการหดตัว ส่วนแนวโน้มปีนี้ คาดว่าจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง เพราะช่วงไตรมาสแรกการค้าขายดีมาก ผู้บริโภคอัดอั้นใช้จ่าย ไม่ได้ออกจากบ้าน เมื่อได้ออกจากบ้าน จึงซื้อเครื่องสำอาง ส่วนการส่งออกออเดอร์มีการเติบโตทั้งจากสรัฐ ยุโรป จีน และอาเซียนในกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนามหรือซีแอลเอ็มวี ที่เหลือยังไม่ฟื้นตัว”
.
“ตลาดเครื่องสำอางจะค่อยๆกลับมาเติบโต เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคมองการแต่งหน้าเป็นแฟชั่น ไม่มีใครยอมตกเทรนด์ แต่ความสวยยุคนิวนอร์มัล มาพร้อมการดูแลสุขอนามัย”  คุณเกศมณี เลิศกิจจา ได้กล่าวทิ้งท้าย
.
ด้วยสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ยังไม่คลี่คลายมากนัก แต่นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย ยังคงเชื่อมั่นว่าการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางจะเห็นต่อเนื่องจากปีนี้ จนถึงปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะโต 4% และปี 2566 จะเติบโตได้ 5%

.

จะเห็นได้ว่า ธุรกิจเครื่องสำอางยังคงสามารถเดินต่อไปได้ ในขณะที่แวดวงอื่นกำลังอ่อนล้าหมดแรงจากผลกระทบโรคระบาด ที่ยังคงถาโถม ซัดเข้ามาอย่างเป็นระยะ และแม้จะไม่อาจกล่าวได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคต หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเกิดขึ้นได้เฉียบพลันในทุกนาที ซึ่งจะส่งผลต่อธุรกิจนี้อย่างไร แต่ที่สุดแล้ว ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลร่างกายตนเอง ก็จะยังคงพัฒนาและต่อยอดไปเรื่อยๆ เพราะ “ความสวยงาม” ก็จะยังคงอยู่คู่กับมนุษย์เราไปอีกนานแสนนานเช่นกัน