ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดการณ์จีดีพีปีนี้ เหลือ 1.8% พร้อมเสนอแนวทางคุมโควิด


ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ปรับลดประมาณการจีดีพีไทย คาดปี 64 โต 1.8% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 2.4% สะท้อนจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับภาพการฟื้นของภาคการท่องเที่ยวยังไม่ชัดเจน และการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ธนาคารปรับประมาณการจีดีพีไทยในปี 65 ขึ้นเป็น 3.1% จากเดิมที่คาดไว้ 3.0% สะท้อนจากฐานที่ต่ำลง

.

ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังคงน่ากังวลจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างไรก็ตามการกระจายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวในปี2565 ทั้งนี้ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคงคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจไทยที่ร้อยละ 1.8 ในปี 2564 และร้อยละ 3.1 ในปี 2565

.

ซึ่งภาคส่งออกถือเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ยังมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยล่าสุดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาขยายตัวถึงร้อยละ 44 จากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 38 และแนวโน้มน่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว แต่จะต้องจับตาดูสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งหากระบาดไปสู่ระบบภาคการผลิตจนทำให้ไม่สามารถผลิตสินค้าได้อาจจะกระทบต่อการส่งออกได้

.

โดยสถานการณ์โควิด-19 และการกระจายวัคซีนเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในขณะที่การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและความชัดเจนของนโยบายการเงินและนโยบายการคลังก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้และจะสะท้อนให้เห็นทิศทางต่อไปในปีหน้า อย่างไรก็ดีมองว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิถุนายนลดลงต่ำสุดในรอบ 22 ปี และคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี หรืออาจจะต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า

.

ทั้งนี้สำหรับประเด็นในเรื่องนโยบายการคลังนั้นมองว่า ความสำคัญอันดับแรกคือการคุมการระบาด และเร่งกระจายวัคซีนให้เร็วที่สุดก่อนที่จะใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้นโยบายการคลังเน้นในเรื่องของเยียวยามากกว่า โดยการที่การขับเคลื่อนนโยบายการคลังโดยการขยับเพดานหนี้สาธารณะให้เพิ่มขึ้นจากระดับ 60 % นั้นจะทำให้มีช่องว่างในการกู้เพิ่มแต่หากไม่สามารถคุมการระบาดได้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการใช้นโยบายการคลัง

.

“ความสำคัญในขณะนี้ไม่ใช่แค่การเยียวยาแต่คือการคุมสถานการณ์โควิด 19 ให้ได้ คือการเร่งความเร็วในการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด หลังจากนั้นการใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจจึงจะเห็นผล”

.

แม้ขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่จากบทวิจัยล่าสุดของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดพบว่า บริษัทต่างชาติ รวมถึงบริษัทจากยุโรป มองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจมายังภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะประเทศไทย เวียดนาม และมาเลเซีย โดยจากงานสัมมนาออนไลน์อัพเดททิศทางเศรษฐกิจของธนาคาร พบว่าผู้เข้าร่วมงานสัมมนาส่วนใหญ่ จากทั้งหมด 150 ท่านทั่วโลก มองว่ายังมีความไม่แน่นอนรออยู่ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังน่ากังวล แต่ความมั่นใจในระยะยาวยังดีอยู่ ธนาคารพบนักลงทุนสถาบันต่างชาติเมื่อไม่นานมานี้ รวมทั้งได้จัดงานสัมมนาออนไลน์อัพเดททิศทางเศรษฐกิจให้กับลูกค้า พบว่านักลงทุนและลูกค้ายังมีความกังวลกับความไม่แน่นอนในภาพรวมเศรษฐกิจไทย ซึ่งนักลงทุนถามถึงทิศทางของนโยบายการเงินและนโยบายการคลังของไทย และถามว่า ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน เรามองค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯอย่างไร เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าที่สุดในภูมิภาคตั้งแต่ต้นปี

.

“เรายังเห็นปัจจัยลบต่อค่าเงินบาท การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทยยังมีความไม่แน่นอน ในขณะเดียวกันราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น และดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงอย่างมาก ทำให้เรามองว่า ค่าเงินบาทน่าจะเผชิญสภาวะที่ท้าทายในช่วงต่อจากนี้ และเนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังคงเปราะบาง เราคิดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับต่ำไปอีกอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้า ถึงแม้ว่าธนาคารกลางบางแห่งจะเริ่มส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้วก็ตาม”

.