สำรวจตลาด Cryptocurrency หลังเกิดความผันผวนต่อเนื่อง ไปกับคุณปรมินทร์ อินโสม เจ้าของ สตางค์ คอร์ปอเรชั่น


ในยุคที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน มีผลกระทบ ต่อผู้คนอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านการสื่อสาร การคมนาคม ตลอดจนด้านการเงิน การลงทุน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “บิทคอยน์” “คริปโทเคอร์เรนซี” “โทเคน” “เหรียญดิจิทัล” เป็นศัพท์ที่ได้ยินหนาหู แทบจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตไปแล้ว

.

.
ตั้งแต่ปี 2009 ที่เริ่มมี Cryptocurrency กระแสเงินดิจิทัลก็เริ่มเขย่าโลกการลงทุนมาโดยตลอด กระทั่งไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มูลค่าตลาดคริปโทได้พุ่งขึ้นแตะระดับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา นับได้ว่าเป็นประวัติการณ์ใหม่ที่ถูกบันทึกไว้ และแม้ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้ ตลาด Cryptocurrency เกิดภาวะความผันผวนให้เห็นอยู่เป็นระยะ จนหลายคนกังวล ว่าอาจจะกำลังเผชิญกับภาวะฟองสบู่ ทั้งจากคนก็ดี ภาวะถดถอยตลาดก็ดี กลไกปกติของตลาดก็ดี ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาเริ่มตกลงอย่างต่อเนื่อง แต่กระแสความสนใจในการลงทุน Cryptocurrency ก็ยังคงอยู่ เพราะหลายคนมองว่าสกุลเงินดิจิทัล กำลังปรับฐานเพื่อเข้าสู่มูลค่าที่แท้จริงนั่นเอง
.
และในเมื่อ “สินทรัพย์ดิจิทัล” แทบจะเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเราเข้ามาทุกขณะ จึงจำเป็นต้องรู้จักและมีความรู้เท่าทัน โดยวันนี้ เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์ถึง อนาคตของสกุลเงินดิจิทัล ว่าจะมีทิศทางอย่างไร พร้อมคำแนะนำจากผู้รู้ท่านนี้ คุณปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ที่เคยทำวิจัยเรื่อง “การทำธุรกรรมบนเทคโนโลยีบล็อกเชนอย่างไรให้ตรวจสอบไม่ได้” โดยเล็งเห็นความสำคัญของความเป็นส่วนตัว (Privacy) และความปลอดภัย (Security) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ขณะเรียนปริญญาโท ด้านระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล (Cyber Security) จากมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ ก่อนจะร่วมมือกับพันธมิตร ก่อตั้งบริษัทแห่งนี้ขึ้นมา

.

.
ผู้เล่นในตลาดที่ผ่านมา มีลักษณะเป็นเช่นไร ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน

หากมองตลาด Cryptocurrency ที่กำลังผันผวนอยู่ในปัจจุบัน มุมมองส่วนตัวผมเห็นว่า ได้ผ่านช่วงที่ทำราคาสูงสุดไปแล้ว จากที่มีนักลงทุนในกลุ่มเก็งกำไรเข้ามาในตลาดนี้ค่อนข้างมากในช่วงปีที่แล้ว ต่อเนื่องถึงต้นปีนี้ ส่งผลให้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีนักลงทุนในส่วนที่เก็งกำไรได้รับบาดเจ็บไปเป็นจำนวนมาก และมีความเชื่อว่าในระยะสั้นคนที่ขาดทุนจำนวนมากเหล่านี้จะออกจากตลาดไปเอง
.
สำหรับในส่วนของตลาดระยะกลาง คนบางส่วนที่ขาดทุนแต่ยังสนใจการลงทุนในลักษณะนี้ ก็จะหันมาศึกษาหาข้อมูลมากขึ้น ทำให้เกิดการขยายตัวของนักลงทุนที่รู้จักคริปโทฯมากขึ้น เปรียบเทียบจากเมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งตรงนี้จะทำให้คนที่มีความรู้พื้นฐานของคริปโทฯเข้ามาช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้แข็งแรงมากขึ้น คนเหล่านี้ก็จะไม่ดูราคาเป็นหลักแล้ว แต่เลือกที่จะพัฒนาให้อุตสาหกรรมคริปโทฯก้าวหน้าต่อไป และเราจะมีสตาร์ทอัพ ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น
.
ส่วนในระยะยาว คนเหล่านี้จะเป็นคนบอกต่อ และพัฒนาองค์ความรู้ ซึ่งไม่ใช่การเทรดเพื่อเก็งกำไรแล้ว แต่จะเป็นผู้ให้ความรู้เรื่องตลาดคริปโทฯให้กับรายใหม่ที่จะเข้ามาในตลาด มีความรู้มากขึ้น เป็นการสร้างคุณภาพให้กับตลาดคริปโทฯต่อไป
.
จากที่ก่อนหน้านี้ ตลาดมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง จะสามารถไหลลงต่ำได้มากกว่านี้หรือไม่

หากมองในมุมของตลาดคริปโตฯ ว่ายังมีโอกาสตกต่อได้อีกหรือไม่นั้น คุณปรมินทร์ ได้ให้ความเห็นว่า ในขณะนี้ถ้ายังไม่มีปัจจัยใหม่ที่ส่งผลแรงถึงขนาดส่งผลกระทบกับตลาดคริปโทฯ ให้ราคาพุ่งขึ้นไป ก็คิดว่าแนวโน้มน่าจะยังไม่ใช่จุดต่ำสุด อาจลงต่อได้อีก ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะนิ่งได้เมื่อไหร่
.
ยกตัวอย่างเช่น ตัวที่ส่งผลให้บิทคอยน์ทะยานขึ้นไปอย่างมากเมื่อต้นปีที่พุ่งจาก 1 ล้านดอลลาร์ เป็น 2 ล้านดอลลาร์ เพราะบริษัท Tesla ประกาศว่าสามารถซื้อขาย รถยนตร์ไฟฟ้าได้ด้วยเงินบิทคอยน์ ส่งผลให้คนมีความเชื่อถือบิทคอยน์มากขึ้น และการตกลงในภายหลังมีประกาศยกเลิกการซื้อขายด้วยเงินสกุลนี้ ก็ยังเห็นว่าการตกของราคาบิทคอยน์ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากอีลอน มัสก์ มากนัก เพราะข่าวออกมาสักพักแล้ว ประกอบกับการออกมาพูดให้ข่าวบ่อย ๆ ก็เริ่มไม่เป็นที่สนใจของผู้คนแล้ว
.
แต่เห็นว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้บิทคอยน์ตกน่าจะมีผลมาจากจีนมากกว่า เพราะบิทคอยน์ ถือว่าเป็นช่องทางหนึ่งที่นักลงทุนจีนโยกสินทรัพย์ทางการเงินออกจากจีน ดังนั้นเมื่อรัฐบาลมี capital control ไม่ให้นักลงทุนจีนนำทุนออกนอกประเทศจากช่องทางนี้มากเกินไปจนไม่สามารถควบคุมได้ จึงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้บิทคอยน์ร่วงอย่างที่ได้ทราบกัน

.

ส่วนปัจจัยที่ทำให้คริปโตฯสามารถฟื้นคืนได้อย่างมีเสถียรภาพ มองว่าปัจจุบันในระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยที่จะทำให้คริปโทมีเสถียรภาพ เพราะตัวคริปโทฯเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่ค่อนข้างเสี่ยงสูง ฉะนั้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ เราไม่สามารถมองเห็นมูลค่าที่คงที่ แต่กว่าที่คริปโทฯจะนิ่งได้ต้องได้รับการยอมรับในวงกว้าง มีคนเข้าถึงได้หลากหลาย โดยเฉพาะคนทั่วไป ที่ไม่ได้มองว่าเป็นสินทรัพย์เพื่อการเสี่ยงหรือเก็งกำไรแล้วเท่านั้น จะทำให้ราคาของคริปโทฯนิ่ง ซึ่งเชื่อว่าต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5-10 ปี

.

.
อนาคตสกุลเงินดิจิทัลจะเข้ามาทดแทนเงินตราในปัจจุบัน

พร้อมให้ทัศนะถึงทิศทางอนาคต ของสกุลเงินดิจิทัล ว่าในอนาคตเงินดิจิทัลคงยังไม่สามารถเข้ามาทดแทนเงินตราในปัจจุบันได้ทั้งหมด หากแต่จะเดินคู่ขนานกันไป เพราะสกุลเงินทั่วไป เช่นเงินบาทหรือเงินดอลลาร์จะต้องมาใช้เทคโนโลยีของเงินดิจิทัลในการแลกเปลี่ยนบนเทคโนโลยีดิจิทัล ส่วนเงินดิจิทัลก็จะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น
.
ส่วนสกุลเงินที่นำเอาเทคโนโลยีคริปโทเคอเรนซี่มาใช้กันอย่างแพร่หลายในขณะนี้เป็นปกติแล้ว คือสกุลเงินหยวนของจีน โดยระบบที่ใช้จัดการเบื้องหลังเป็นระบบเดียวกับที่ใช้เทคโนโลยีของคริปโทเคอเรนซี่ ปัจจุบันทั่วโลกใช้เทคโนโลยีนี้ค่อนข้างมาก แต่ยังอยู่ในขั้นของการศึกษาที่นำเอาเทคโนโลยีของคริปโทฯไปใช้เป็นเบื้องหลังของสกุลเงินต่าง ๆ
.
แม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็มีการนำเงินบาท มาผูกเข้ากับเทคโนโลยีของคริปโทฯ ที่เรียกกันว่า “ไทยบาทดิจิทัล” เชื่อว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีหลายประเทศที่จะนำเทคโนโลยีนี้ มาเชื่อมเป็นระบบเบื้องหลังสกุลเงินหลักของประเทศมากขึ้น
.
ทิศทางอนาคตของ ตลาด Cryptocurrency จะมีหน้าตาอย่างไร

“ถ้าเรามองแนวโน้มในอนาคตตลาดเงินดิจิทัลอีก 4 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มว่ายังคงมีโอกาสขึ้นอยู่ เพราะหากเราดูตัวเลขของวันนี้ย้อนกลับไป 4 ปีที่แล้ว ราคายังสูงกว่า ตัวนี้เป็นสถิติที่ผ่านมา 3 รอบแล้ว เหตุผลเพราะว่าคริปโทฯ จะมีการผลิตลดลงทุก 4 ปี นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ราคาโดยเฉพาะบิทคอยน์จะขึ้นไป แต่ไม่ได้ขึ้นเป็น 2 เท่า เพราะมีหลายปัจจัยที่ส่งผล เช่น นโยบายทางการเมือง หรือ capital control ของแต่ละประเทศด้วย โดยเฉพาะจีน เป็นประเทศที่ใช้บิทคอยน์นำเงินออกนอกประเทศมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก”
.
“นอกจากนี้ปัจจุบันกฎหมายจีนกำหนดให้นักลงทุนจีนห้ามขุด แต่ไม่ได้ห้ามผลิต เครื่องผลิตบิทคอยน์ส่วนใหญ่อยู่ที่จีนอยู่แล้ว ทางการบอกไม่ให้ขุด แต่ไม่ได้หมายความว่าบริษัทที่ประเทศจีนจะผลิตออกมาไม่ได้ เพียงแต่เปลี่ยนที่ผลิต จากเดิมผลิตที่จีนก็ผลิตที่อเมริกา หรือแคนาดา เพราะประเทศเหล่านั้นไม่มีปัญหาเรื่องเหมืองขุด ปัจจุบันลูกค้าจีนก็ไปใช้เหมืองขุดที่อเมริกาและแคนาดาเป็นจำนวนมาก คนที่ไปตั้งก็เป็นคนจีน ในมุมมองผมแล้วนักลงทุนยังเหมือนเดิม เพียงแต่แค่เปลี่ยน GO location สถานที่ มาอยู่ในประเทศที่อยู่ในเขตที่อนุญาตให้ผลิตบิทคอยน์ เท่านั้นเอง”

.

.
แนวทางสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ พร้อมวิธีรับมือกับตลาดที่ผันผวน

“สิ่งสำคัญมากที่อยากจะฝากนักลงทุน นักเก็งกำไรมือใหม่คือ การเทรดคริปโทฯมีการวิ่งขึ้นลงเร็วกว่าหุ้น การทำ Money Management มีความแตกต่างจากการซื้อขายหุ้น ดังนั้นต้องศึกษาหาความรู้และข้อมูลให้ดีก่อนที่จะลงมือเทรด ปัจจุบันนี้การเทรดมีเครื่องมือมากขึ้น มีการเทรดระยะสั้นได้ด้วย โดยคาดว่าราคาจะลงไปอีก นักลงทุนก็อาจซื้อในขาลงเพื่อมาเก็บเก็งกำไรต่อไปก็อาจทำได้ แต่คนที่ต้องการจะไปต่อ ต้องศึกษาว่าคริปโทฯคืออะไร มีการทำงานอย่างไร ทำอย่างไรให้ใช้งานคริปโทฯได้มากขึ้น เขาจะเลื่อนมาเป็นผู้ช่วยพัฒนาให้วงการนี้ขยายต่อไปได้ในอนาคต”
.
“สิ่งที่ควรระวัง เมื่อตลาดเป็นที่ดึงดูดนักลงทุนอย่างปัจจุบันนี้ ก็คือพวกนักต้มตุ๋น หรือเหล่า Scamer เป็นพวกหลอกลวง ไม่ได้เป็นคนเทรดแต่หลอกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเทรด พวกนี้จะหลอกคนที่ไม่รู้ ไม่มีความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยี ใช้ช่องโหว่ตรงนี้มาหลอกนักลงทุน ซึ่งจะต้องระวังอย่างมาก โดยส่วนใหญ่จะใช้การล่อล่วงแบบให้ผลตอบแทนสูง กระตุ้นความโลภของเหยื่อ” คุณปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้แนะแนวทางพร้อมทิ้งท้ายถึงนักลงทุนหน้าใหม่ ที่สนใจในตลาด Cryptocurrency
.
บทสรุปมุมมองตลาดสกุลเงินดิจิทัล

หากเรามองในมุมของกลไกสินทรัพย์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่อาจจะต้องเจอเปรียบเสมือนวงจรชีวิต ที่เมื่อสินทรัพย์ชนิดใดก็ตาม ที่มีการไล่ซื้อในปริมาณมาก เมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็ต้องเจอกับภาวะการปรับฐาน ซึ่งนั่นก็เป็นกลไกเข้ามาช่วยลดความร้อนแรงของราคาในแต่ละช่วงเวลา ที่นับว่าเป็นเรื่องปกติในตลาดการลงทุน
.
ซึ่งคนหลายกลุ่มคนอาจมีมุมมองต่อ “สินทรัพย์ดิจิทัล” ที่แตกต่างกัน แม้ว่าบางกลุ่มอาจมองว่า “บิทคอยน์” ผลิตขึ้นจากอากาศ ไม่มีมูลค่า ท้ายที่สุดมูลค่าก็จะกลับไปที่จุดตั้งต้น แต่ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งมองว่าบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากสกุลเงินที่ใช้จริงในปัจจุบัน ซึ่งอาจถูกด้อยค่าลงในอนาคต
.
ซึ่งเหนือสิ่งอื่นใด การลงทุนบนโลกตลาด Cryptocurrency ควรมีสายตาที่ฉับไวและคมพอที่แยกดีมานด์แท้หรือดีมานด์เทียม ควรสังเกตว่าเม็ดเงินที่เข้าไปซื้อสินทรัพย์นั้นเป็นลักษณะการลงทุนระยะยาวหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่การเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น รวมไปถึงการมองคุณสมบัติของเหรียญ Cryptocurrency สกุลนั้นๆ ว่ามีความสามารถสร้างตัวชี้วัดต่อระบบเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ ถ้าหากมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจก็น่าจะมีความต้องการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า ในทุกวันมีทั้งคนที่รอดและร่วง จากตลาดการลงทุนทุกประเภท ดังนั้นเราควรมีความรู้และเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ เพื่อพร้อมจะพุ่งเข้าหาความเสี่ยง ที่เราได้ตัดสินใจเลือกลงทุนกับมัน
.