เชื่อว่าในยุคปัจจุบัน การเป็นฟรีแลนซ์หรือเรียกอีกชื่อว่าผู้ประกอบอาชีพอิสระ ดูจะเป็นงานที่หลายคนใฝ่ฝันเป็นการส่วนตัว ด้วยลักษณะงานที่สามารถจัดการเวลาได้ด้วยตัวเอง (ควบคู่ไปกับวินัยที่สูงตามมา) หรือหากใครที่มีสกิลหลายแขนงติดตัวอยู่ ก็ยังสามารถรับหลายงานได้หลายตัวไปในคราวเดียว นับเป็นอาชีพอีกรูปแบบหนึ่งที่เหมาะกับยุคสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่เป็นอย่างยิ่ง
แต่แม้การเป็นฟรีแลนซ์จะมีข้อดีหลายประการ หากมองในมุมข้อจำกัดของฟรีแลนซ์ที่เสียเปรียบพนักงานประจำอย่างหนึ่งก็คือ “การขอสินเชื่อ” เนื่องจากอัตราการกู้ธนาคารผ่านได้นั้น ยากกว่าเมื่อเทียบกับพนักงานประจำ จากจุดอ่อนในด้านความสม่ำเสมอของรายได้ที่ฟรีแลนซ์น่าจะด้อยกว่ามนุษย์เงินเดือน
.
แต่อย่าเพิ่งถอดใจกับปัญหานี้ เพราะยังมีตัวช่วยชดเชยข้อเสียเปรียบนี้ด้วยประวัติทางการเงินที่ดี ซึ่งทำให้มีหลายกรณีที่ฟรีแลนซ์มีโอกาสได้รับการพิจารณาสินเชื่อเช่นกัน
.
ในอดีตธนาคารมักพิจารณาสินเชื่อจาก “รายได้” ของลูกค้าเป็นหลัก แต่ปัจจุบันได้หันมาดูเรื่อง “ความสามารถในการชำระคืน” ทั้งด้วยการพิจารณาแหล่งที่มารายได้อื่น ตลอดจนข้อมูลทางเลือกเชิงพฤติกรรม เพื่อประเมินถึงวินัยและศักยภาพในการชำระหนี้
ดังนั้น จึงนับเป็นโอกาสของผู้ที่เป็นฟรีแลนซ์ที่จะสามารถเข้าถึงสินเชื่อของสถาบันการเงินได้ดีขึ้น แต่ก็จำเป็นต้องบริหารจัดการบัญชีเพื่อเป็นหลักฐานให้เจ้าหนี้ประเมินถึงความมีวินัยและสถานภาพทางการเงินที่ดีของตนเองได้ด้วย ดังต่อไปนี้
นำรายได้จากผู้จ้างทุกรายเข้าบัญชีเดียวกันตลอด
ไม่ว่าจะเป็นกรณีรับโอนเงินค่าจ้าง หรือกรณีที่รับเงินค่าจ้างเป็นเงินสดก็ให้นำเข้าบัญชีด้วย เพื่อให้ได้การเดินบัญชีที่สวยงามเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6-12 เดือน เพราะถ้ารายได้เข้าหลายบัญชี ก็อาจทำให้การประเมินหรือการพิสูจน์รายได้มีความยาก (การนำเงินก้อนใส่เข้าบัญชีครั้งเดียว อาจถูกประเมินว่า เป็นเงินที่หยิบยืมมา ดังนั้นความสม่ำเสมอของการเดินบัญชีจึงมีความสำคัญมากกว่า) ซึ่งข้อมูลการเดินบัญชีนี้สามารถนำมาเป็นหลักฐานแสดงรายได้ประกอบการขอสินเชื่อธนาคารได้
เตรียมเอกสารประกอบแสดงการจ้างงาน
เตรียมความพร้อมเอกสารให้ดี อาทิ เอกสาร 50 ทวิย้อนหลังเท่าที่มี (เพื่อเป็นหลักฐานว่าเราประกอบอาชีพที่มีรายได้แม้ไม่มีสลิปเงินเดือนเหมือนพนักงานประจำก็ตาม) ใบเสร็จรับเงินหรือสัญญาจ้างในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้เห็นประวัติการรับงานในอดีตและแนวโน้มรายได้ที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า เรียกว่าเราทำงานรับจ้างใคร เวลาใด ใหญ่เล็กแค่ไหนก็ให้เก็บหลักฐานการจ่ายค้าจ้างค่าตอบแทนไว้ดี ในที่ที่ปลอดภัย
ในกรณีที่มีการใช้บัตรเครดิต หรือสินเชื่ออื่นที่มีการผ่อนชำระอยู่ก่อนแล้ว
ควรมีการใช้จ่ายและชำระคืนบัตรเครดิตอย่างสม่ำเสมอ ไม่พอกพูนหนี้ และต้องชำระคืน หรือผ่อนให้ตรงตามกำหนด เพื่อสร้างฐานข้อมูลการเป็นหนี้และมีประวัติการชำระหนี้ที่ดี ซึ่งจะช่วยให้มีคะแนนเครดิต (Credit Scoring) สูงขึ้น และส่งผลให้ได้รับวงเงินกู้ก้อนอื่นๆ เพิ่มขึ้นได้ ขณะที่ ในระยะหลัง ธนาคารก็ใช้หลักการประเมินความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ โดยอิงจากสถิติการเดินบัญชีเพื่อปล่อยสินเชื่อประเภทดังกล่าวให้กับกลุ่มฟรีแลนซ์มากขึ้น
.
จะเห็นได้ว่า ระหว่างการทำงานประจำ และการทำงานฟรีแลนซ์ แม้จะมีข้อได้เปรียบ เสียเปรียบแตกต่างกัน แต่ในส่วนของการประเมินความสามารถในการผ่อนชำระคืนนั้น ถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่า เราจะมีฐานเงินเดือนสูงแค่ไหน มีรายรับเข้ามาหลายทางมากเพียงใด แต่หากเรามีประวัติการชำระที่ไม่ดีแล้ว ย่อมส่งผลต่อสิ่งที่จะตามมาในอนาคต ฉะนั้นหากชาวฟรีแลนซ์ท่านใดที่กำลังมองหาวิธีสร้างเครดิตให้ตัวเอง ก็ควรยึดไกด์ไลน์นี้เป็นแนวทาง เพื่อเตรียมความพร้อมหากถึงเวลาจำเป็นต้องใช้เงินจากการกู้ยืม
.
ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย