สัปดาห์ที่แล้ว ผมเขียนถึงความยากลำบากของเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อจากการระบาดของโควิด และกำลังถูกซ้ำเติมจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับยูเครน ซึ่งท่านที่ติดตามข่าวสารนี้ คงได้รับทราบกันไปบ้างแล้วว่าประเทศไทยกำลังเจอกับความยากลำบากอย่างไรจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดเผยรายงานภาวะเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ โดยสูงขึ้นถึงร้อยละ 5.28 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว โดยสาเหตุเกิดจากราคาพลังงาน และการขยับราคาของสินค้าหลายรายการ
สิ่งที่ถอดรหัสได้จากภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างรุนแรงในวันนี้คือ ประชาชนกำลังเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจจะรุนแรงหรือยืดเยื้อยาวนานไปถึงเมื่อไหร่ยังไม่มีใครรู้ ขึ้นอยู่ว่าความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน จะขยายวงหรือยุติลงเมื่อไหร่
ตามหลักแล้วการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อนี้ จะกระทบกับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยก่อน กลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง เนื่องจากราคาสินค้าที่ขยับขึ้นราคาส่วนใหญ่นั้น เป็นสินค้าทั่วไปที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน และยังต้องมีภาระค่าเดินทางที่สูงขึ้นจากราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันในมุมของผู้ประกอบการเอง ยิ่งตกอยู่ในภาวะอยากลำบาก ล่าสุดมีข่าวว่าแม้แต่สินค้าอย่าง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยังต้องขอขยับราคาขายส่งกับตัวแทนหรือยี่ปั๊วซองละ 10 สตางค์ โดยไม่ขยับราคาขายกับผู้บริโภค ทั้งนี้เนื่องจากผู้ประกอบการทราบดีว่า สถานการณ์กำลังซื้อปัจจุบันตรึงตัวจนไม่สามารถขยับราคาสินค้าได้อีก
ไม่เพียงแค่ราคาพลังงานที่ส่งผลกระทบกับประเทศไทย แต่ยังมีประเด็นวัตถุดิบที่ยึดโยงกับตลาดโลก เช่น การขาดแคลนวัตถุดิบของอาหารสัตว์ การขาดแคลนแร่ธาตุในการผลิตปุ๋ย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะกดดันทำให้ราคาสินค้าที่เป็นปัจจัยการผลิตอาหารสูงขึ้น นำมาซึ่งราคาสินค้าอาหารพุ่งสูงขึ้นในอนาคต
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะบีบรัดให้เงินเฟ้อของไทยเร่งตัวขึ้นอีกได้ในอนาคต และคนไทยก็จะมีภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มขึ้น ตามราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันเบนซินที่อาจจะทะลุไปสูงกว่าลิตรละ 40 บาท ในเร็วๆนี้ก็เป็นได้
ด้วยภาวะที่กำลังซื้อในประเทศยังตรึงตัว ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบต่างๆขยับสูงขึ้นเข่นนี้ ผู้ประกอบการต้องวางแผนรับมือไว้เสียแต่เนิ่นๆ ต้องประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเพื่อหาทางหนีทีไล่ไว้ ที่สำคัญคือวันนี้สภาพคล่องเป็นเรื่องสำคัญ จำเป็นต้องตระเตรียมให้เพียงพอ เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต เรียกว่าเตรียมไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน สวัสดีครับ