ทำไม “ดูไบ” ถึงเป็นจุดหมายปลายทางของเศรษฐี-นักธุรกิจ ที่ใครๆ ก็อยากไปอยู่


ต้องบอกก่อนว่า “ดูไบ” เป็นเมืองที่อยู่ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ถึงจะเป็นจุดหมายปลายทางที่นักธุรกิจต่างอยากไปอยู่นั้น แต่เมื่อ 50 ปีก่อน ดูไบเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ริมอ่าวเปอร์เซียเท่านั้น แต่จุดเปลี่ยนสำคัญของดูไบนั้นคือการค้นพบน้ำมันในช่วงทศวรรษ 1960s จนทำให้ในปี 1969 ดูไบมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากการส่งออกน้ำมัน และส่งผลให้ร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามด้วยความที่ดูไบมีปริมาณน้ำมันสำรองไม่มาก จึงนำมาสู่การเปลี่ยนแปลง จากการพึ่งพารายได้หลักจากน้ำมัน มาเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจหลากหลาย จนทำให้ดูไบกลายเป็นศูนย์กลางของธุรกิจโลกและแหล่งท่องเที่ยวสุดหรู
.
อีกสิ่งที่ทำให้ดูไบเป็นประเทศที่น่าเข้าหาก็เพราะ ดูไบเป็นศูนย์กลางของการขนส่ง พ่อค้าจากทั่วโลกจึงสามารถเดินทางซื้อขายได้อย่างสะดวก จึงทำให้ดูไบเป็นศูนย์กลางการค้าเพชรอันดับ 2 ของโลก และด้วยความที่เป็นศูนย์กลางของการขนส่งสินค้า ดูไบได้มีการต่อยอดมาเป็นธุรกิจการเงิน และจัดตั้งศูนย์การเงินนานาชาติดูไบ ในปี 2002 และตลาดหลักทรัพย์ดูไบเพื่อวางตัวเองให้เป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาคตะวันออกกลาง
.
และพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยดูไบเทงบประมาณสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น ตึกบุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ (Burj Khalifa) ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก (งบประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือหมู่เกาะต้นปาล์ม (งบประมาณ 12.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จนมีสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวคือศูนย์การค้ามากมายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตึกระฟ้า โรงแรมหรู และสนามแข่งขันกีฬาต่าง ๆ
.
ดูไบให้ความสำคัญกับการสนับสนุน SME และสตาร์ทอัพอย่างสม่ำเสมอ จนทำให้ดูไบเป็นเมืองที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด และเป็นสถานที่เศรษฐี-นักธุรกิจ จับตามองอย่างมาก
.
เหล่านี้จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไม “ดูไบ” ถึงดึงดูดทั้งมหาเศรษฐี และนักธุรกิจให้เดินทางเข้ามาอาศัย ลงทุน เพราะดินแดนแห่งนี้ยังมีโอกาสซ่อนอยู่มากมาย