ปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจไทยเริ่มบีบให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัว โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่เน้นการค้าขายในประเทศต้องกลับมามองว่าจะทำอย่างไร เพราะในอนาคตตลาดในประเทศจะเล็กลงเนื่องจากไทยได้ใกล้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ และหนี้ครัวเรือนในระดับสูงบั่นทอนกำลังซื้อในประเทศให้ขยายตัวต่ำ ผู้ประกอบการจึงต้องหาทางขยายการส่งออกรวมทั้งย้ายฐานการลงทุนไปในประเทศที่สามารถหาแรงงานได้ง่ายและราคาถูก มีต้นทุนวัตถุดิบต่ำ อีกทั้งมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามนับเป็นดาวรุ่งที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ได้จับมือเวียดคอมแบงก์ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเวียดนามนำเข้าสินค้าหรือบริการของไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงสนับสนุนนักลงทุนไทยในเวียดนามให้มีวงเงินหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจเพื่อขยายการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-เวียดนาม โดยคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนไทย-เวียดนามได้ประมาณ 10,000 ล้านบาทในปี 2566 และเติบโต 10% ต่อปีในระยะถัดไป นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายเหวียน ซวน ฟุก ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามสัญญาสนับสนุนการค้าและการลงทุน ระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และเวียดคอมแบงก์ (Vietcombank) โดยมี ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และนายเหวียน แทงห์ ตุ่ง รักษาการกรรมการผู้จัดการ เวียดคอมแบงก์ เป็นผู้ลงนาม ณ ทำเนียบรัฐบาล ในโอกาสที่ประธานาธิบดี เหวียน ซวน ฟุก เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการเพื่อเข้าร่วมการประชุมเอเปค โดย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ร่วมแสดงความยินดีกับความร่วมมือครั้งนี้ระหว่าง EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังที่มีภารกิจส่งเสริมและสนับสนุนการส่งออกและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศกับเวียดคอมแบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐแห่งแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการให้บริการสินเชื่อเพื่อการส่งออกและนำเข้าและธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ
ความร่วมมือครั้งนี้ ครอบคลุมการให้วงเงินสินเชื่อระหว่างกัน (Reciprocal Credit Lines) แนะนำผู้ประกอบการระหว่างกัน (Customer Referrals) ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ อาทิ การเป็นตัวแทนรับหลักประกัน (Security Agent) การเป็นตัวแทนในการเบิกจ่ายเงินกู้ (Disbursement Agent) เป็นการสนับสนุนบริการครบวงจรทั้งทางการเงินและไม่ใช่การเงินสำหรับผู้ประกอบการไทย-เวียดนาม เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเวียดนามนำเข้าสินค้าหรือบริการจากไทยและผลักดันให้เกิดโครงการลงทุนหรือร่วมทุนระหว่างไทยกับเวียดนามเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าจะทำให้มูลค่าการค้าและการลงทุนไทย-เวียดนามเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 ล้านบาทในปี 2566 และเติบโต 10% ต่อปีในระยะถัดไป
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า EXIM BANK สานพลังกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งการทำงานร่วมกับทีมประเทศไทย ภายใต้บทบาทของ EXIM BANK ในการเป็น “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย” เดินหน้าสร้างนักรบเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในเวทีโลก โดยมองเห็นศักยภาพของเวียดนาม หนึ่งในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูงด้วยจำนวนประชากรเกือบ 100 ล้านคน มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2566 จะเติบโตถึง 6.2% และเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 6.6% ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า ขณะที่รัฐบาลเวียดนามมีนโยบายส่งเสริมการค้าเสรีและการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเวียดนามมีความตกลงการค้าเสรี (FTAs) มากที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก และเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายของนักลงทุนทั่วโลก สะท้อนจากเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิ (FDI Net Inflow) ที่ไหลเข้าเวียดนามขยายตัวเฉลี่ย 7.9% ต่อปีในปี 2555-2564 เทียบกับ FDI โลกที่ขยายตัวเพียง 3.3% ผู้ประกอบการไทยจึงมีโอกาสอีกมากที่จะขยายธุรกิจการค้าและการลงทุนเข้าไปยังตลาดเวียดนาม
ในปี 2564 มูลค่าการค้าระหว่างไทย-เวียดนามสูงราว 620,000 ล้านบาท นับเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 2 ของไทยในอาเซียน รองจากมาเลเซีย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเวียดนามก้าวขึ้นมาเป็นตลาดที่มีบทบาทต่อการส่งออกของไทยอย่างมาก มูลค่าส่งออกจากไทยไปเวียดนามเติบโตเกือบเท่าตัว ด้านการลงทุน ไทยเป็นนักลงทุนรายใหญ่อันดับ 8 ในเวียดนาม ด้วยมูลค่าลงทุนสะสมราว 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 470,000 ล้านบาท การลงทุนของไทยในเวียดนามกระจายอยู่ในหลากหลายธุรกิจ อาทิ นิคมอุตสาหกรรม พลังงาน อาหารแปรรูป ปิโตรเคมี และบรรจุภัณฑ์
นอกจากนี้ ในงานสัมมนา “Vietnam in Focus 2022 : The Dream Journey” จัดโดย EXIM BANK เมื่อเร็ว ๆ นี้ นักธุรกิจไทยชั้นนำได้บอกเล่าถึงศักยภาพของตลาดเวียดนามที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย อาทิ นายยงยุทธ เสฏฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเข้าไปลงทุนในเวียดนามตั้งแต่ปี 2551 เป็นการร่วมลงทุนกับบริษัทที่มีชื่อเสียงในเวียดนามที่เป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบให้กับบริษัทอยู่แล้วในสัดส่วน 50% โดยมองว่าเวียดนามเป็นประเทศที่เหมาะสมมากในการเป็นฐานการผลิตอาหารทะเลเพราะมีชายทะเลยาวมาก มีวัตถุดิบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ แต่บริษัทก็เริ่มซื้อหุ้นคืนในปี 2559 ก็ถือหุ้น 100% การจะลงทุนในเวียดนามหากเลือกคนถูกและมีพันธมิตรที่ดีก็จะช่วยให้เติบโตได้เร็วเพราะผู้ร่วมทุนจะช่วยสนับสนุนด้านกฎหมาย กฎระเบียบการค้าการลงทุนและช่วยเหลือด้านการตลาดในประเทศได้มาก
ขณะที่นายชยุต ตุลยนิติกุล รองประธานฝ่ายบริหาร บริษัท กนกโปรดักส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าระบบรดน้ำต้นไม้ เล่าถึงประสบการณ์ในเวียดนามว่า เข้าสู่ตลาดประมาณ 6 ปีแล้ว เริ่มจากการไปออกบูทเพื่อโปรโมทสินค้าและได้รับการตอบรับดีได้รับการติดต่อจากผู้นำเข้าในเวียดนามพาไปสำรวจตลาดซึ่งพบว่าเวียดนามเหมือนไทยตรงที่เป็นประเทศกสิกรรมมีสินค้าเกี่ยวกับการเกษตรจำหน่ายเยอะมาก มีหลายคุณภาพและราคา
นายสุนทรพล วีระประวัติ ASEAN Region Manager บริษัท เอสซีวี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเครื่องยนต์ทางการเกษตรยี่ห้อคูโบต้า เปิดเผยว่า ผู้นำเข้าที่เวียดนามต้องการผู้ส่งออกที่มีชื่อเสียงและมีประวัติการส่งออกที่ดี แม้จะเป็นผู้ส่งออก แต่บริษัทก็จะต้องทำหน้าที่แทนผู้ซื้อ คือเช็ตสินค้าที่ปลายทางเป็นระยะว่ามีปัญหาหรือไม่ เราจะมีบทบาทหน้าที่เป็นที่เป็น Dealer หรือ Distributor ด้วย นี่เป็นหัวใจสำคัญของการกระจายสินค้าให้ทั่วถึงในภูมิภาคเราจะดูแลลูกค้าได้อย่างเข้าถึงและเข้าใจ
ผู้ประกอบการไทยล้วนเห็นพ้องถึงศักยภาพของตลาดเวียดนาม อย่างไรก็ตาม การเจาะตลาดใหม่ รวมทั้งเวียดนาม ผู้ประกอบการไทยควรมีที่ปรึกษาทางธุรกิจที่พร้อมให้ข้อมูลความรู้ นอกเหนือจากเครื่องมือทางการเงิน ทั้งในมิติของสินเชื่อและบริการประกันการส่งออกและลงทุน และเครือข่ายธุรกิจ โดย EXIM BANK พร้อมทำหน้าที่ดังกล่าว ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปอยู่ใน Supply Chain ธุรกิจของเวียดนาม โดยเฉพาะธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลเวียดนามที่ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง โดยปัจจุบันโครงการลงทุนของไทยในเวียดนามภายใต้การสนับสนุนของ EXIM BANK คิดเป็นมูลค่ากว่า 17,300 ล้านบาทในหลากหลายธุรกิจ อาทิ โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด และปิโตรเคมี เป็นต้น
“เวียดนามวันนี้ได้พลิกโฉมจากคู่แข่งกลายมาเป็นคู่ค้าคนสำคัญที่ไทยพึ่งพาและพึ่งพิงมากขึ้น EXIM BANK พร้อมทำหน้าที่มากกว่าธนาคาร เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเชื่อมโยง Supply Chain การผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศเวียดนามและตลาดโลกได้ โดยธุรกิจส่วนใหญ่ในเวียดนามมุ่งสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลไทยและประชาคมโลกสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ สร้างความเข้มแข็งและการพัฒนาอย่างยั่งยืนตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ไปจนถึงภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และประชาคมโลก” ดร.รักษ์ กล่าว