เราเคยได้ยินประโยคที่ว่า “คนขยันไม่มีวันอดตาย” แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งโกหกแต่อย่างใด เพราะหากคนเราตั้งใจทำมาหากิน มีความอดทนอยู่กับสิ่งที่ทำ เงินทองย่อมไม่หนีไปไหน
เรื่องราวของ Matt O’Hayer ที่ทำธุรกิจมาถึง 50 ธุรกิจ ตั้งแต่การทำความสะอาดพรมไปจนถึงการเช่าเหมาลำเรือใบ แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเกิดขึ้นเมื่อเขาหยุดที่ไม่อยากจะรวย และเริ่มต้นสร้างบริษัทที่มีความเชื่อถึงจุดประสงค์มากกว่าเรื่องทั่วไปจึงเป็นที่ของ “Vital Farms” ซึ่งเป็นผู้ผลิตไข่รายใหญ่ของโลก
ปัจจุบันธุรกิจทำงานร่วมกับฟาร์มครอบครัวมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ และสามารถแปรรูปไข่ได้มากถึง 6 ล้านฟองต่อวัน โดยธุรกิจมีรายได้สุทธิ 362.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่แล้ว ซึ่งลูกค้ายินดีจ่ายเงิน 6-10 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อซื้อสินค้า ในราคาสูงกว่าตลาดที่มีราคาอยู่ที่ 2.04 ดอลลาร์สหรัฐฯ
O’Hayer ประกาศเปิดตัว “Vital Farms” ในปี 2007 โดยมีไก่ Rhode Island Red จำนวน 20 ตัว บนพื้นที่ 27 เอเคอร์ ใกล้ออสติน, เท็กซัส ซึ่งเจ้าตัวมีเป้าหมายอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน คือ 1. เลี้ยงแม่ไก่ไข่ในสภาพแวดล้อมที่มีมนุษยธรรมมากกว่าพื้นที่ปกติในสหรัฐฯ และ 2.สอนเกษตรกรรายอื่น ๆ ให้ทำแบบเดียวกัน
“ผมคิดว่าเราสร้างความตื่นตะลึงเป็นอย่างมากให้กับมาร์เกตเพลส ทำให้ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อไข่ มันแสดงให้เห็นว่าผู้คนสนใจจริง ๆ จะกินอะไร และมาจากไหน” O’Hayer กล่าว
เส้นทางของ O’Hayer เริ่มต้นทำธุรกิจ “ขนาดใหญ่” แห่งแรกเมื่ออายุ 20 ปี โดยเป็นบริษัททำความสะอาดพรม และบริการภารโรงในฮูสตัน นอกจากนี้ยังมีกิจการอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจแลกเปลี่ยนสินค้า, บริษัทท่องเที่ยว และบริการเช่าเหมาเรือใบท่องเที่ยววันหยุดพักผ่อน
ในช่วงทศวรรษ 1980 เขาพยายามทำฟาร์มเล็ก ๆ เลี้ยงแม่ไก่อยู่ในกรง โดยเขามีหน้าที่นั่งเฉย ๆ และเอาอาหารให้พวกมันกิน จนมาถึงปี 1984 O’Hayer ได้พบกับ John Mackey ผู้ร่วมก่อตั้ง Whole Foods Market ทั้งคู่มีมิตรภาพร่วมกันอย่างยาวนาน โดย Mackey มีเป้าหมายในการแสวงหาความสมดุลระหว่าง “กำไร” และ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” จึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำเรื่องนี้
หลังจากนั้น O’Hayer เริ่มค้นคว้าหาไอเดียธุรกิจที่มีจุดมุ่งหมายอันลึกซึ้ง และกลับมาสู่อุตสาหกรรมไข่อีกครั้ง โดยเจ้าตัวได้รับข้อมูลมาว่า ไก่ที่ผลิตไข่ประมาณ 90% ของโลกอาศัยอยู่ในกรง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ในฟาร์มที่ทรมานมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจซื้อฟาร์มขนาด 27 เอเคอร์ในออสติน คิดเป็นราคา 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมกับเริ่มทำงานทันที โดย Vital Farms ใช้เวลา 2 ปี ทำกำไรจากการดำเนินงาน ซึ่ง O’Hayer ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเอาชนะความผิดพลาดของเกษตรกรมือใหม่
ความต้องการของ O’Hayer คือการหยุดทรมานสัตว์ โดยไก่ที่เลี้ยงไว้ของ Vital Farms จะเดินเตร่ในพื้นที่เพาะปลูกอย่างน้อย 108 ตารางฟุตในแต่ละวัน ทั้งการหาหญ้า หรือแมลงกินตามธรรมชาติ เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขายังรู้อีกว่าแม่ไก่ต้องการอาหารเพิ่มซึ่งทำมาจากข้าวโพด และกากถั่วเหลืองที่ยังไม่แปรรูป เพื่อสร้างความแน่ใจว่าจะได้อัตราการผลิตไข่ที่สูงขึ้น
“ได้ไข่มาก็ขายไป หากเหลือก็บริจาคให้กับธนาคารอาหารท้องถิ่น” O’Hayer กล่าว
ในปี 2009 บริษัทได้ต้อนรับลูกค้ารายใหญ่ นั่นคือ Whole Foods ที่มาเพิ่มช่องทางการขายให้กระจายออกไป
ตามรายงานของ Research and Markets พบว่า มูลค่าตลาดไข่รวมในสหรัฐฯ คิดเป็น 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเกือบ 40% ของการผลิตไข่ในสหรัฐฯ ถูกควบคุมโดยคู่แข่งรายใหญ่ แต่ Vital Farms ไม่ได้อยู่ในนั้น แต่ก็ยังถูกจับตามองในตลาดนี้อยู่ดี
ที่มา:cnbc
เรื่องที่เกี่ยวข้อง