Makro VS GO Wholesale ศึกห้างค้าส่งระอุ เมื่อคนมาทีหลังอยากเบียดคนมาก่อนเข้าไปครองใจลูกค้า


มีคนเคยกล่าวไว้ว่า การธุรกิจที่ดีต้องมีการแข่งขันระหว่างกัน ไม่ใช่แค่มีเจ้าเดียวอยู่ในตลาดนั้น เพราะไม่ต่างจากการผูกขาด ผู้บริโภคไม่มีสิทธิ์เลือก แต่ถ้ามีหลายแบรนด์ในตลาดเป็นตัวเลือก ผลประโยชน์ก็จะตกมาอยู่กับผู้บริโภค ที่การดำเนินธุรกิจจะวัดกันที่คุณภาพ โปรโมชัน การทำการตลาด สุดท้ายคนตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อแบรนด์ก็หน้าที่ของผู้บริโภคนั่นเอง

เมื่อพูดถึงธุรกิจค้าส่ง แน่นอนว่าชื่อของ “Makro” ย่อมมาเป็นอันดับต้น ๆ ด้วยความที่อยู่กับธุรกิจนี้มาเนิ่นนาน แต่ตอนนี้พวกเขากำลังเจอคู่แข่งคนสำคัญอย่าง “GO Wholesale” ที่งานนี้ไม่ได้มาเล่น ๆ ขอท้าชิงเข้าไปแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด แม้จะเป็นผู้มาทีหลังก็ตามที และศึกค้าส่งสองยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยนี้ได้เริ่มอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับ “Makro” ภายใต้การบริหารของกลุ่มซีพี ก่อตั้งในปี 2531 ด้วยทุนจดทะเบียน 750 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าแบบขายส่งทั้งสินค้าอุปโภค บริโภคให้กับกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ผู้ค้าปลีกรายย่อย, ผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม และธุรกิจจัดเลี้ยง ตลอดจนผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจบริการ ปัจจุบันมี 163 สาขาทั่วประเทศ

รายได้ของ “Makro” ในชื่อของบริษัท ซีพี เอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) มีดังต่อไปนี้

– ปี 2563 รายได้รวม 218,760 ล้านบาท กำไร 6,562 ล้านบาท
– ปี 2564 รายได้รวม 266,434 ล้านบาท กำไร 13,686 ล้านบาท
– ปี 2565 รายได้รวม 469,131 ล้านบาท กำไร 7,696 ล้านบาท

เรามาดูที่ GO Wholesale ภายใต้การบริหารของเครือเซ็นทรัล ที่บ่งบอกตัวเองว่าคือ PROFESSIONAL FOOD SOLUTION มีความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบสินค้าคุณภาพในราคาคุ้มค่า ตอบโจทย์ผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง รวมถึงกลุ่มร้านค้าปลีกรายใหญ่ และกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจบริการ ผ่านบริษัทลูกชื่อว่าบริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด

จะเห็นได้ว่าทั้งสองแบรนด์คือคู่แข่งในธุรกิจนี้โดยตรง เมื่อดูจากกลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะเหมือนกัน นี่จึงเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการแข่งขันที่จะมาพร้อมความดุเดือดในอนาคตอย่างแน่นอน โดยตอนนี้ GO Wholesale ได้เปิดสาขาแรกที่ศรีนครินทร์ไปแล้ว ซึ่งถนนเส้นนั้นก็มี Makro เปิดก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว

หรือจะเป็นสาขาที่ 2 ของ GO Wholesale ที่คราวนี้ขึ้นเหนือไปเปิดที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 22 พ.ย. เช่นเดียวกันที่นั่นก็มี Makro เปิดก่อนอยู่แล้ว งานนี้จึงไม่มีใครยอมใคร เพราะในช่วงเวลานี้ทั้งคู่ต่างสร้างพื้นที่สื่ออยู่ในกระแสให้มีการรับรู้ของผู้คนให้มากที่สุด โดย GO Wholesale มีกิจกรรม Workshop และ Meet&Greet กับเหล่าดาราศิลปิน เชฟ กูรู ไม่เพียงเท่านั้น ลูกค้าที่สมัครสมาชิก Go Wholesale สาขาเชียงใหม่ รับคูปองส่วนลดฟรี มูลค่ารวม 2,000 บาท

ขณะที่ Makro ก็ไม่น้อยหน้า เตรียมเผย แม็คโคร เชียงใหม่ โฉมใหม่ ซึ่งเปิดวันที่ 22 พ.ย. เหมือนกัน พร้อมมีกิจกรรม Meet&Greet กับเกรท วรินทร ที่กำลังโด่งดังในบทขุนหลวงท้ายสระ ในละครพรหมลิขิต

ความดุเดือดนี้อาจเป็นเพียงการเรียกน้ำย่อยของจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะสถานีต่อไปของ GO Wholesale คือที่ พัทยา และอมตะนคร เป็นสาขาที่ 3 และ 4 ตามลำดับ ต้องมาดูกันว่าเมื่อถึงเวลานั้น Makro จะงัดกลยุทธ์อะไรมาสู้

ความต่างระหว่าง Makro กับ GO Wholesale

ด้วยความที่เป็นห้างค้าส่งที่คล้ายคลึงกัน การสร้างความแตกต่างจึงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ โดย Makro ที่เปิดมาก่อนย่อมเข้าใจผู้บริโภคดีกว่า ซึ่งรูปแบบของแบรนด์มีความหลากหลายกว่า ทั้งที่เป็นแบบ ห้างขนาดใหญ่, ร้านขนาดเล็ก, Horeca, Foodshop ขณะที่ GO Wholesale มีแค่รูปแบบเดียวคือห้างพื้นที่ขนาดใหญ่ 7,000 ตารางเมตรต่อสาขา

ส่วนเรื่องของการชำระเงิน ทั้งสองแบรนด์ก็มีความต่าง โดย Makro จ่ายผ่านบัตรเครดิตได้ยี่ห้อเดียว คือ ซิตี้แบงค์, สแกนจ่ายผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร, จ่ายผ่านทรูวอลเล็ตได้ ด้าน GO Wholesale สามารถรับชำระเงินได้ทุกธนาคาร และสามารถสะสมแต้ม เดอะวันการ์ด นำมาแลกเป็นส่วนลดภายหลังได้

มาที่เรื่องของจำนวนสาขา เรียกได้ว่า Makro นั้นกินขาดอยู่แล้วโดยตอนนี้พวกเขามี 163 สาขา ทั่วประเทศ ส่วน GO Wholesale กำลังจะเปิดสาขาที่ 2 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม GO Wholesale ตั้งเป้าจะเปิดสาขาใหม่ในทุก ๆ เดือน ภายในระยะเวลา 5 ปี

เรื่องนี้เราไม่ต้องมานั่งถกเถียงกันว่าแบรนด์ไหนดีที่สุด เพราะสุดท้ายแล้วประโยชน์ก็ตกมาอยู่ที่ผู้บริโภค ขอให้ลองไปใช้บริการดูก่อน และประเมินว่าแบรนด์ไหนนี้ หรือหากมีโปรโมชันที่น่าสนใจในช่วงนั้นก็เลือกที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตนเอง และท้ายสุดเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะการทำธุรกิจต้องมีการแข่งขันเพื่อประโยชน์สูงสุดกับลูกค้าอยู่แล้ว

 

ที่มา: centralretailmakro, SET