ย้อนประวัติปลากระป๋อง “ปุ้มปุ้ย” จากวันแรกถึงวันนี้ที่ธุรกิจเตรียมถูกถอดออกจากตลาดหุ้น


“ปุ้มปุ้ย” อีกแบรนด์ปลากระป๋องที่อยู่คู่กับคนไทยมากว่า 40 ปี เรื่องราวของธุรกิจจากจุดเริ่มต้นที่ต้องการผลิตปลากระป๋องชั้นดี มีคุณภาพ ให้กับผู้บริโภค สู่ความไม่ลงรอยเรื่องการแบ่งทรัพย์สินจนเกินเป็นคดีฟ้องร้องเนื่องด้วยเป็นธุรกิจกงสีกินเวลายืดเยื้อถึง 6 ปี มาวันนี้ปลากระป๋อง “ปุ้มปุ้ย” เตรียมถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีผล 21 ก.พ.67 นี้

เส้นทางธุรกิจของปลากระป๋อง “ปุ้มปุ้ย” จากวันแรกมาจนถึงวันนี้ ถ้าเป็นละครก็เรียกว่าดราม่าไม่ใช่น้อย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร Smartsme จะเล่าให้ฟัง

ตระกูลโตทับเที่ยงเป็นผู้ริเริ่มและเป็นเจ้าของธุรกิจปลากระป๋องปุ้ยปุ้ย โดยจัดตั้งบริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท ในวันที่ 1 พ.ย.2522 ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ปุ้ยปุ้ย” และ “ปลายิ้ม” ในช่วงแรกได้ผลิตและจำหน่ายปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศฉลากสีส้ม และปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศฉลากสีชมพู ด้วยกำลังการผลิต 1 ล้านกระป๋องต่อปี

หากถามว่าทำไมถึงมาทำธุรกิจนี้ คำตอบที่ได้คือต้องการผลิตปลากระป๋องชั้นดี รสชาติอร่อย ไม่ต้องพึ่งพาลดการนำเข้าจากต่างประเทศ และดูเหมือนว่าธุรกิจปลากระป๋องกำลังไปได้ด้วยดีได้รับความนิยมจากผู้บริโภค โดยแบรนด์ได้ต่อยอดออกสินค้าใหม่ ๆ มาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ปลากระป๋องปรุงรส (ปลาทอดรสเผ็ด, ปลาซาร์ดีนสับปรุงรส) รวมถึงแตกไลน์ไปยังสินค้าอื่น ๆ ได้แก่ ปลาราดพริก, หอยลายอบกรอบ

จุดเติบโตที่สำคัญของปลากระป๋องปุ้มปุ้ย คือสามารถนำธุรกิจเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้สำเร็จ ในวันที่ 8 มิ.ย.2538 แต่จุดเปลี่ยนของธุรกิจก็มาอีกครั้ง เมื่อมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น หลังจากนายสุธรรม โตทับเที่ยง พี่ชายคนโต และเป็นประธานกรรมการบริหาร ร่วมกับบอร์ดของบริษัทยื่นฟ้องนายสุรินทร์ โตทับเที่ยง ซึ่งเป็นน้องชาย เกี่ยวกับการแบ่งทรัพย์สิน

ในเรื่องนี้ ปี 2561 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้นายสุรินทร์โอนหุ้นในบริษัทรวม 19 บริษัทให้พี่น้องทั้ง 9 คน และโอนที่ดินให้กับจำเลยทั้ง 6 คน ต่อมาปี 2562 ศาลอุทธรณ์มีการแก้ไขคำพิพากษาบางส่วน โดยให้นายสุรินทร์ โอนหุ้นทั้ง 19 บริษัท ให้กับพี่น้อง 9 คน แบ่งหุ้นออกเป็น 10 ส่วน ให้กับพี่น้องทุกคน และคุณสุรินทร์ ในสัดส่วนที่เท่ากัน ส่วนทรัพย์สินที่ดินให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้พี่น้อง และนำมาแบ่ง 10 ส่วนเท่ากัน และในปี 2565 ศาลฏีกาพิพากษายืนยันตามศาลอุทธรณ์

การฟ้องร้องครั้งนี้กินระยะเวลานาน 6 ปี เลยทีเดียว และข้อพิพาทที่เกิดขึ้นทำให้ “ตระกูลโตทับเที่ยง” ไม่สามารถเข้ามาบริการงานได้ ซึ่งส่งผลต่อธุรกิจที่หยุดชะงัก แบรนด์หายไปจากตลาด ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มที่ และกลับมาอีกครั้งหลังทุกอย่างคลี่คลายลง

เมื่อไม่นานมานี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิกถอนปุ้มปุ้ย (POMPUI) ออกจากหลักทรัพย์จดทะเบียน เนื่องจากงบการเงินของบริษัทปรากฏส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีค่าน้อยกว่าศูนย์ และผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินประจำปี 2547-2549 ซึ่งแม้บริษัทจะดำเนินการให้ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับมามีค่ามากกว่าศูนย์ และผู้สอบบัญชีแสดงความเห็นต่องบการเงินได้ แต่บริษัทไม่สามารถดำเนินการให้มีคุณสมบัติเพื่อกลับมาซื้อขายได้ตามหลักเกณฑ์ และภายในระยะเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ.2567 เป็นต้นไป

แน่นอนว่าการถูกถอดถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่ความล้มเหลว หรือความพ่ายแพ้ของการทำธุรกิจแต่อย่างใด แต่เป็นโอกาสให้ธุรกิจได้กลับมารีแบรนด์ จัดระเบียบการบริหาร สร้างความแข็งแกร่งกลับอีกครั้ง