KFC มาเลเซียปิดกว่า 100 สาขา เพราะถูกชาวมุสลิมคว่ำบาตรธุรกิจสัญชาติสหรัฐฯ


KFC แฟรนไชส์สัญชาติอเมริกันกำลังตกเป็นเป้าหมายการรณรงค์คว่ำบาตรธุรกิจของประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับอิสราเอลที่ทำสงครามกับชาวปาเลสไตน์จนมีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

KFC ถูกบังคับให้ปิดสาขาในมาเลเซียมากกว่า 100 แห่ง โดยตามรายงานของสื่อจีน เผยว่า QSR Brands ซึ่งเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ฟาสต์ฟู้ดอย่าง KFC ต้องปิดสาขาจำนวน 108 แห่งจากทั้งหมด 600 แห่งทั่วมาเลเซียเป็นการชั่วคราว โดยส่วนใหญ่อยู่ในรัฐกลันตันที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม

ในแถลงการณ์ของ QSR Brands อ้างว่าภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายทำให้มีการปิดสาขาลง และพนักงานจะได้รับโอกาสย้ายไปยังร้านค้าที่มีผู้คนพลุกพล่านมากขึ้น บริษัทมีส่วนสนับสนุนเชิงบวกต่อเศรษฐกิจมาเลเซียผ่านการจ้างงานพนักงาน 18,000 คน ในมาเลเซีย ซึ่งประมาณ 85% เป็นชาวมุสลิม

อย่างไรก็ตาม ก็มีขบวนการที่สนับสนุนให้มีการคว่ำบาตรธุรกิจสัญชาติสหรัฐฯ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนอิสราเอล ทั้งในรูปแบบการขายเงินลงทุน, คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับ KFC แฟรนไชส์อาหารอเมริกันล่าสุดที่ตกเป็นเป้าหมายใหญ่ของชาวมุสลิม

ก่อนหน้านี้ McDonald’s ก็ตกอยู่ในสถานะนี้เหมือนกัน หลังจากแฟรนไชส์ในอิสราเอลประกาศว่าได้บริจาคอาหารหลายพันมื้อให้กับกองทัพอิสราเอลจนเกิดเป็นชนวนสร้างความไม่พอใจ อีกทั้งรายงานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พบว่าสงครามอิสราเอลต่อฉนวนกาซ่าส่งผลกระทบอย่างมีความหมาย โดยเฉพาะยอดขายในตะวันออกกลาง และประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย

Chris Kempczinski ซีอีโอ McDonald’s กล่าวว่าผลกระทบอย่างต่อเนื่องของสงครามต่อธุรกิจในท้องถิ่นของผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ และไม่คิดว่ายอดขายจะฟื้นตัวก่อนสิ้นปีนี้

อย่างไรก็ตาม McDonald’s ไม่ได้นิ่งนอนใจได้ยื่นฟ้องขบวนการคว่ำบาตรที่สร้างความเกลียดชังส่งต่อไปยังผู้บริโภคมาสู่แบรนด์จนได้รับความเสียหาย ซึ่งบริษัทมีการเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มา: middleeasteye, globaldata