ถอดบทเรียน Robinhood ตั้งเริ่มทำธุรกิจขาดทุนทุกปี รวม 5.5 พันล้านบาท


แพลตฟอร์มสั่งอาหารเดลิเวอรีได้รับความนิยมอย่างมาก นับตั้งแต่การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผู้คนโดนกักบริเวณไม่สามารถออกมาใช้ชีวิตได้ปกติ การส่งอาหารจากร้านค้ามายังที่พักจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ และเมื่อโควิด-19 คลี่คลายแล้วการให้บริการดังกล่าวก็ยังได้รับความนิยมสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง

แต่ความนิยมดังกล่าวก็นำมาสู่การแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ให้บริการมากหน้าหลายตาที่เข้ามาแย่งชิงพื้นที่ส่วนแบ่งทางการตลาด ผ่านการเสนอโปรโมชัน ส่วนลดต่าง ๆ เพื่อดึงลูกค้าเข้ามาใช้บริการ

“Robinhood” อีกหนึ่งแอปพลิเคชันส่งอาหารเดลิเวอรี ภายใต้การบริหารของเอสซีบี เอกซ์ (SCBX) ที่ต้องโบกมือลา โดยจะหยุดให้บริการมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.2567 เป็นต้นไป โดยบริษัทได้บอกว่าพวกเขาทำภารกิจลุล่วงแล้วกับการช่วยเหลือร้านค้า ไรเดอร์ และคนตัวเล็กในช่วงวิกฤตโควิด เมื่อวิกฤตโควิดผ่านพ้นไป ธุรกิจต่าง ๆ เข้าสู่สภาวะปกติ แอปพลิเคชัน Robinhood จึงตัดสินใจยุติบทบาทลง และกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะยังคงได้รับการสนับสนุนจากลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจในส่วนของแพลฟอร์มอื่น ๆ ของบริษัททั้งในปัจจุบัน และที่จะมีต่อในอนาคตต่อไป

 

 

สำหรับแอปพลิเคชัน Robinhood เริ่มต้นให้บริการในปี 2563 ภายใต้บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ในเครือของเอสซีบี เอกซ์ ด้วยงบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท/ปี โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การไม่เก็บค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์ม ทำให้ร้านค้าไม่มีต้นทุนเพิ่ม ลูกค้าจะได้รับอาหารในราคา และปริมาณเดียวกันกับซื้อที่ร้าน รวมถึงร้านค้าจะได้รับเงินสดทันทีภายใน 1 เดือน หลังจากอาหารถูกจัดส่ง ช่วยสร้างสภาพคล่อง หมดปัญหาเรื่องหมุนเงินไม่ทันในการทำธุรกิจ

ขณะเดียวกัน “Robinhood” ก็ให้ส่วนลดกับลูกค้า เช่น ลดค่าสั่งอาหาร 8% จากร้านค้าที่เข้าร่วม ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกเมนูเด็ดได้เหมือนกับไปรับประทานอาหารที่ร้าน

ผลประกอบการบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด

-ปี 2563 รายได้รวม 81,549 บาท ขาดทุน -88 ล้านบาท
-ปี 2564 รายได้รวม 16 ล้านบาท ขาดทุน -1,335 ล้านบาท
-ปี 2565 รายได้รวม 539 ล้านบาท ขาดทุน -1,987 ล้านบาท
-ปี 2566 รายได้รวม 724 ล้านบาท ขาดทุน -2,156 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่า “Robinhood” ขาดทุนตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ทำธุรกิจมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกของธุรกิจประเภทนี้ที่จะเลือกวิธีการ “เผาเงิน” ก่อนเพื่อให้ได้ข้อมูล จำนวนลูกค้า และค่อยมาทำกำไรภายหลัง อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นแพลตฟอร์มที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูงจึงทำให้ “Robinhood” ไม่สามารถเบียดแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งที่สำคัญได้

 

 

หากดูข้อมูลจาก Statista เมื่อเดือนเมษายน ปี 2023 พบว่า GrabFood ครองส่วนแบ่งทางการตลาดในบริการประเภทนี้มากที่สุด คิดเป็น 56% ส่วน Robinhood มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 5% เท่านั้น

เราอาจมองเรื่องนี้ได้ในหลายมุมมอง หากมองในเรื่องวัตถุประสงค์ของการทำแอปฯ Robinhood ที่ต้องการช่วยเหลือไรเดอร์ ร้านค้าในช่วงโควิด-19 ถือว่าบรรลุเป้าหมาย ประสบความสำเร็จ เป็นพระเอกในเรื่องความเสียสละ ความมีน้ำใจ แต่หากมองในมุมของธุรกิจ การที่ตัวเลขขาดทุนทุกปี และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่า SCBX จะเป็นบริษัทใหญ่ ทุนหนา แต่การปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องดี เมื่อประเมินผลลัพธ์แล้วควรหยุด การยุติให้บริการถือว่าเป็นทางออกที่ดี