หลักความพร้อม ก่อนเริ่มต้นขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME


 

สิ่งที่สมควรต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการขอสินเชื่อ จะเป็นบทเริ่มต้นพื้นฐานที่ชี้ให้เห็นหลักในการขอสินเชื่อ SME ทุกประเภทสำหรับเสนอสถาบันการเงินพูดง่ายๆคือหลักที่สามารถบ่งบอกศักยภาพของกิจการได้ทั้งหมด

ศักยภาพของผู้บริหาร คือการพิจารณาคุณลักษณะและรูปลักษณ์ของตัวผู้ประกอบกิจการโดยพิจารณาในแง่ประวัติความเป็นมาของโครงการ แรงจูงใจในการทำโครงการความเป็นไปได้ในการทำการตลาดของโครงการ นิสัยและประวัติของผู้ทำโครงการว่ามีหรือไม่มีประสบการณ์ แนวคิดที่มีต่อธุรกิจ เนื่องด้วยสถาบันการเงินต้องการลูกหนี้ที่มีแนวโน้มที่จะประกอบธุรกิจประสพความสำเร็จสูง แต่การที่มีประสบการณ์ก็ใช่ว่าจะทำให้ผู้ประกอบการรายนั้นประสพความสำเร็จเสมอไป ส่วนใหญ่ต้องลงลึกถึงวิสัยทัศน์จริงๆ

ศักยภาพในการชำระหนี้ของโครงการ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ในข้อนี้ด้วยประมาณการกระแสเงินสด และงบการเงิน เพื่อที่จะวิเคราะห์ว่าสถาบันการเงินจะได้รับการชำระหนี้คืนโดยพิจารณางบการเงินและรายการหมุนเวียนเงินในบัญชีประกอบกัน เพื่อพิสูจน์ได้ว่างบการเงินที่ลูกค้านำเสนอนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่สถาบันการเงินจะได้ทำการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินเพื่อดูทิศทางหรือแนวโน้มของกิจการทั้งก่อนและหลังขอสินเชื่อ

ศักยภาพด้านเงินทุน โดยต้องทำการวิเคราะห์จากสองแหล่งคือจากหนี้สิน และส่วนทุน สินทรัพย์เท่ากับหนี้สินรวมกับส่วนทุน ก็เพื่อพิจารณาการเกิดของทรัพย์สินว่าเกิดขึ้นจากเงินทุนในส่วนของ capital จำนวนเท่าใดซึ่งเงินทุนในส่วนนี้จะมาจากทุนจดทะเบียนและกำไรสะสมของกิจการหากทรัพย์สินที่เกิดขึ้นจาก capital จำนวนสูงก็หมายความว่าโครงการที่ต้องการเงินกู้มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุนอยู่ในเกณฑ์ต่ำ

เหตุผลเพราะหากมี Capital สูงและยื่นกู้กับสถาบันการเงินในจำนวนที่ไม่สูงก็จะทำให้ความเสี่ยงขอสถาบันการเงินต่ำ เนื่องจากกรณีหากกิจการเกิดไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ได้ และสถาบันการเงินต้องฟ้องร้องบังคับคดีต่อกิจการนั้นๆ สถาบันการเงินก็จะยังมีทรัพย์สินปลอดภาระให้ตามบังคับได้อีก หากหลักประกันเงินกู้เมื่อขายทอดตลาดไม่คลอบคลุมภาระหนี้

ศักยภาพของหลักประกัน การขอสินเชื่อนั้นแบ่งออกเป็นสองประเภท คือแบบที่ไม่มีหลักประกัน และที่ต้องใช้หลักประกัน ซึ่งส่วนใหญ่สินเชื่อเพื่อธุรกิจนั้นเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องมีหลักประกันในการขอสินเชื่อ โดยทั่วไปหลักประกันนั้นจะเป็นการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น

ซึ่งแนวโน้มในปัจจุบันนี้ธนาคารส่วนมากให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์หลักประกันลดลง สืบเนื่องมาจากปัญหามากมายในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันจะหันมาให้ความสำคัญต่อการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้เสียมากกว่า

โดยทั่วไปสถาบันการเงินจะปล่อยสินเชื่อในอัตราร้อยละ 50-80 ของมูลค่าหลักประกัน จากราคาประเมิน

ศักยภาพของผู้กู้กับเงื่อนไขของสินเชื่อ สินเชื่อนั้นในความเห็นของผู้เขียนคือ สินค้า ผลิตภัณฑ์ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการหากำไรอย่างหนึ่งของธนาคารที่เป็นตัวคัดกรองหาลูกค้าที่มีศักยภาพในการทำกำไรซึ่งเงื่อนไขนี้โดยมากจะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับกิจการของตัวลูกค้า เช่น สินเชื่อเพื่อโครงการอพาร์ทเม้นให้เช่าที่กำหนดให้โครงการจ่ายดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวในสองปีแรกและเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะให้ชำระเงินต้นทุกๆสามเดือนซึ่งเป็นความยืดหยุ่นที่ปรับเข้ากับธรรมชาติชองธุรกิจอพาร์ทเม้นให้เช่าที่โดยธรรมดาแล้วไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ในระยะแรกๆจนกว่าจะเริ่มมีผู้เช่า ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อลูกค้าบนพื้นฐานการประมาณการทางการเงินโดยธนาคาร

ปัจจัยภายนอก ณ ปัจจุบัน ซึ่งส่งผลต่อโครงการของลูกค้าธนาคารโดยตรงและโดยอ้อม สถาบันการเงินจะวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงทุกประเภทในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งปัจจัยนี้รวมไปถึงนโยบายของภาครัฐ ยกตัวเอย่างง่ายๆเช่นการที่สถาบันการเงินออกผลิตภัณฑ์อย่างสินเชื่อเพื่อกิจการที่ได้รับผลจากมหาอุทกภัยที่ผ่านมาเป็นต้นสืบเนื่องจากการที่รัฐมีนโยบายออกมา

เหล่านี้สิ่งที่สถาบันการเงินคาดหวังจากผู้ประกอบการซึ่งเป็นตัวแปลสำคัญที่จะบ่งชี้ศักยภาพของตัวผู้ประกอบการเองทัศนคติของคนไทยมักไม่ได้มองเนื้อแท้ของธนาคารพาณิชย์ต่างๆเลยว่าแท้จริงแล้วธนาคารเหล่านี้เป็นเพียงกิจการประเภทหนึ่งที่แสวงหาผลกำไร ดังนั้นในการทำธุรกิจเราจะต้องก้าวตามให้ทันและถ้าเป็นไปได้เราต้องนำในการสร้างเครดิตของตัวเองในสายตาธนาคาร

ที่มา : https://goo.gl/u3DlcA