กินไก่มากเป็นโรคเกาต์ จริงหรือมั่ว??? หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า กินไก่มากๆ ระวังเป็นเกาต์นะ บางคนเกิดความสงสัยว่าจริงหรือเปล่า หลายคนไม่มีความรู้ เกี่ยวกับโรคนี้มากนัก จนเป็นโรคนี้แบบไม่รู้ตัว  ซึ่งถ้าหากเป็นแล้ว เราอาจทรมารจากอาการของโรคได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีสำหรับเราแน่ ดังนั้นเราควรเรียนรู้เกี่ยวกับโรคนี้ เพื่อไว้ใช้ดูแลตัวเองได้ในโอกาสต่อไป จริงๆแล้ว "โรคเกาต์" เป็นโรคปวดข้อเรื้อรังชนิดหนึ่งที่พบได้มาก ส่วนใหญ่จะพบในผู้ชายมากกว่า ผู้หญิง อายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป ถ้าพบในผู้หญิงส่วนใหญ่ มักจะเป็นหลังวัยหมดประจำเดือน โรคนี้เป็นโรคที่มีทางรักษาให้หายได้ แต่ถ้าหากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษา ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนอย่างที่เป็นอันตรายได้ สาเหตุของโรคเกาต์นั้น เกิดเนื่องจากการที่ร่างกายมีกรดยูริคสูงเกินไป กรดยูริก เป็นสารตัวหนึ่งที่เกิดมาจากการเผาผลาญสารเพียวรีน ซึ่งมีมากในเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ถั่วต่างๆ พืชผัก โดยเฉพาะหน่ออ่อนหรือยอดอ่อน กรดยูริคนั้นเป็นสิ่งที่พบได้เป็นปกติอยู่แล้วในเลือดของเรา และจะถูกขับออกทางไต แต่ในกรณีที่ร่างกายมีการสร้างกรดยูริก มากเกินไป หรือไตขับกรดยูริกได้น้อยลงนั้น ก็อาจจะทำให้มีกรดยูริกค้างสะสมอยู่ในร่างกายมากเกินไป ทำให้เกิดการตกผลึกและจะไปสะสมอยู่ตามข้อต่างๆ ผิวหนัง รวมถึงไตและอวัยวะอื่นๆ ทำให้เกิดอาการไม่สบาย ผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้ส่วนมากมักจะมีสาเหตุมาจากจากร่างกายสร้างกรดยูริกมากเกินไป เนื่องจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ จึงมักพบมีพ่อแม่ญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย  และเป็นส่วนน้อยอาจมีสาเหตุมาจากร่างกายมีการสลายตัวของเซลล์มากเกินไป เช่น มะเร็งในเม็ดเลือดขาว โรคทาลัสซีเมีย การฉายรังสี  ใช้ยารักษามะเร็ง  หรือ อาจจะเกิดจากการที่ไตขับกรดยูริกได้น้อยลง เช่น ภาวะไตวาย  ผลจากการใช้ยาไทอาไซด์ สำหรับผู้ชายนั้น ระดับกรดยูริคจะสูงตั้งแต่ในช่วงวัยรุ่น แต่สำหรับผู้หญิงจะไม่สูง เพราะฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศ แต่จะสูงขึ้นเมื่อถึงช่วงวัยหมดประจำเดือนแล้ว อาการของโรคเกาต์ ที่เห็นได้ชัดเจนคือ อาการปวดข้ออย่างรุนแรง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที ถ้าเป็นอาการปวดในครั้งแรกๆ มักจะเป็นเพียงข้อเดียว ข้อที่มีโอกาสเป็นได้มากที่สุด คือ นิ้วหัวแม่เท้า แต่ส่วนข้อเท้า ข้อเข่าก็อาจพบได้บ้าง มีอาการข้อจะบวมและเจ็บมากจนเดินไม่ไหว ผิวหนังตรงบริเวณนั้นจะมีลักษณะตึง ร้อนและแดง และจะพบลักษณะเฉพาะ คือ ขณะที่อาการเริ่มทุเลาลงแล้วผิวหนังตรงบริเวณที่ปวด ก็จะลอกออกและมีอาการคัน  คนที่เป็นจะเริ่มมีอาการปวดตอนกลางคืน และมักจะเป็นหลังจากดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ หรือหลังกินเลี้ยง หรือกินอาหารมากผิดปกติ ทำให้ไตขับกรดยูริกได้น้อยลง ในบางคนที่เป็นมานานอาจพบนิ่วทางเดินปัสสาวะได้ สำหรับในส่วนของการรักษาเกาต์นั้นเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ

1. การรักษาอาการข้ออักเสบ การรักษาในช่วงนี้จะเป็นการใช้ยาโคลชิซิน ร่วมกับการใช้ยาแก้ปวดลดอักเสบ เพื่อลดการอักเสบของข้อ รักษาจนกว่าจะหายปวด ควรกินยาไม่เกิน 3-4  เม็ดต่อวัน สำหรับผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์ในระยะข้ออักเสบนั้น ห้ามนวด โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ข้อที่อักเสบนั้น เป็นรุนแรงมากขึ้นและหายช้าลงได้
2. การลดกรดยูริคในเลือด โดยการใช้ยาลดกรดยูริค สำหรับคนที่มีอาการข้ออักเสบมากกว่า 1 ครั้ง จะต้องใช้ยาลดกรดยูริค ซึ่งการกินยานั้นจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอไปนานหลายปี เพื่อลดระดับกรดยูริคในเลือดลง  ทำให้ตะกอนของกรดยูริคที่สะสมอยู่ละลายออกไปจนหมดคนที่เป็นโรคนี้จะสามารถหายจากโรคเก๊าท์ได้ แต่ยังมีข้อควรระวังของการใช้ยานี้ คือ ยาลดกรดยูริค จะมีผลข้างเคียง คือทำให้เกิดผื่นมีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง และลอก ออกเป็นอันตรายมาก การกินยาที่ไม่สม่ำเสมอ การกินๆ หยุดๆ นั้นจะเสี่ยงต่อการแพ้ยามากเป็นอย่างมาก ดังนั้นผู้ที่ไม่สามารถกินยาได้สม่ำเสมอ ไม่ควรที่จะใช้ยานี้

สำหรับคำถามที่ว่า การกินไก่มากๆ จะเป็นโรคเกาต์ หรือคนที่เป็นโรคเกาต์ กินไก่ หรือสัตว์ปีกได้หรือไม่นั้น คำตอบที่ดีที่สุดคือ เราสามารถกินไก่บ่อยๆ ได้ถ้าเราไม่มีอาการของโรคนี้ซ่อนอยู่ แต่ถึงอย่างไรผู้ที่ป่วยบางคนก็สามารถกินไก่ และสัตว์ปีกได้ ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรคของแต่ละคน ซึ่งได้รับการตรวจจากแพทย์แล้ว จริงๆ แล้วสิ่งที่เราควรงดคือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย เพราะการเผาผลาญแอลกอฮอล์ ทำให้มีกรดแลคติคเกิดขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาคือ จะมีผลทำให้กรดยูริคถูกขับถ่ายได้น้อยลง ทำให้โรคที่เป็นอยู่กำเริบได้ โรคเกาต์เป็นโรคที่มีอาการป่วยเรื้อรัง สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่เป็นแล้ว คือควรทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง กินยาเป็นประจำ ทำตามคำแนะนำที่แพทย์สั่ง ส่วนคนที่ยังไม่เป็นก็ควรหันมาดูแลใส่ใจตัวเอง สังเกตตัวเอง เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ หรืออาจลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพียงเท่านี้เราก็สามารถลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคเกาต์ได้