ตามที่ผมเคยเขียนแนะนำว่าคนเป็นผู้นำต้องมีการตัดสินใจที่ดี เพราะการตัดสินใจของผู้นำบางครั้งอาจหมายถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวขององค์การเลยทีเดียว ในข้อเขียนนี้จึงขอเสนอแนะนำ
“ทฤษฎี 3 ถูก” ซึ่งผมสรุปจากประสบการณ์บริหารของตนเองให้คนที่เป็นหรืออยากเป็นผู้นำลองพิจารณาดูเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการตัดสินใจ
ถูกแรกคือ “ถูกต้อง” นักบริหารต้องตัดสินใจอยู่บนความถูกต้องเสมอทุกครั้งไป ปัญหาก็คือนักบริหารมิได้แสนรู้ไปทุกเรื่อง ยิ่งเลื่อนขั้นสูงขึ้นไปเท่าไหร่ยิ่งต้องตัดสินใจข้ามความถนัดหรือเชี่ยวชาญของตนเองมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างผมสมัยเป็นหัวหน้าภาคการปกครองก็ดูแลเฉพาะเรื่องวิชารัฐศาสตร์การปกครอง พอขึ้นเป็นคณบดีก็ต้องตัดสินใจด้านวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการบริหารรัฐกิจด้วย พอขึ้นเป็นอธิการบดีต้องตัดสินใจทุกเรื่อง ทั้งเรื่องวิชาการเรื่องธุรการ รวมทั้งการคลัง สถาปัตย์ ฯลฯ
ปัญหาคือนักบริหารทุกคนให้เก่งแค่ไหนก็มีความรู้ไม่ครบทุกด้านหรอกครับ แต่ต้องตัดสินใจไปทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นคนเป็นนักบริหารต้องรู้จักหา “ความถูกต้อง” ในเรื่องที่เราไม่รู้ ต้องรู้ว่าเรื่องที่เข้ามาสู่การตัดสินใจของเรานั้นถ้าเราไม่รู้เรื่องนั้นจะไปหาความถูกต้องของเรื่องนั้นมาจากที่ใด จะไปค้นตำราหรือถาม Google ก็ตงจะได้ แต่วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือจะปรึกษากับใครดี นักบริหารจึงควรทราบว่าในแวดวงของเรานั้นใครเก่งด้านไหน ควรคุยกับใคร ในบริษัทเราใครเป็นหลักด้านไหน มีปัญหาเรื่องนี้ควรปรึกษาใคร เป็นต้น
แต่นั่นแหละ แม้จะปรึกษาคนอื่นแต่เมื่อตัดสินใจแล้วต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่โทษคนนั้นโทษคนนี้ ใครที่แนะนำหรือให้ข้อมูลผิด ๆ หรือท่าดีแต่ทีเหลวก็ควรจดจำไว้บ้าง เพราะฉะนั้นเพื่อความรอบคอบการปรึกษาอาจทำอย่างกว้างขวางคุยกับคนหลายคนไม่ใช่เพียงคนใดคนเดียว ฟังแล้วเอามาตรึกตรองด้วยตนเองก่อนตัดสินใจให้เป็นผลปฏิบัติออกมา ไม่ใช่เชื่อใครก็เอาตามคนนั้นโดยไม่ใช้ความคิดตนเองเลย อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ไม่ว่าการตัดสินใจนั้นจะเกิดผลอย่างไร ดีหรือไม่ดี เราเป็นผู้รับผิดชอบ
ถูกที่สองที่ต้องพิจารณาคือ “ถูกใจ” นักบริหารต้องวิเคราะห์ว่าผลที่เกิดจากการตัดสินใจของเรานั้นถูกใจคนที่ได้รับผลกระทบหรือไม่ หลักง่าย ๆ ในการพิจารณาคือถ้าตัดสินใจไปแล้วทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีความรู้สึกว่าได้ก็ย่อมถูกใจ ถ้าเขารู้สึกว่าเสียก็ไม่ถูกใจหรือไม่พอใจ เป็นเรื่องธรรมดาไม่ต้องคิดให้ยุ่งยาก ว่าไหมครับ
ถ้าเรื่องไหนเป็นเรื่องที่”ถูกต้อง”แถมยัง”ถูกใจ”ผู้คนด้วยแล้ว นักบริหารก็ไม่ต้องคิดอะไรมากตัดสินใจไปได้เลย ผู้คนที่ทราบการตัดสินใจของเราหรือจะได้รับผลกระทบในทางที่ดีก็ย่อมยินดีปรีดาไปตาม ๆ กัน จะประกาศล่วงหน้าเป็นปีก็ยังไหว อย่างรัฐบาล คสช. ตัดสินใจจะลดภาษีรายได้ให้กับประชาชนกว่าจะมีผลก็โน่นปี ๒๕๖๑ โน่น แต่รัฐบาลก็รีบประกาศให้พลเมืองทราบอย่างละเอียดตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๙ ยังต้องรอกันอีกนานกว่าฝันจะเป็นจริง เรียกว่าให้ทราบข่าวดีล่วงหน้า หรืออาจเป็นรัฐบาลไม่แน่ใจว่าจะอยู่จนถึงวันนั้นหรือเปล่าจึงชิงประกาศ หรือไม่ก็เชื่อว่าประกาศแล้วอาจทำให้อยู่ได้ถึงวันนั้นก็ได้
แต่ถ้าสิ่งที่เราตัดสินใจนั้นแม้เป็นเรื่อง “ถูกต้อง” แต่ดูจะไม่ “ถูกใจ” คน เรื่องแบบหลังนี่ใจเย็น ๆ นะครับสำหรับการตัดสินใจ อย่าเพิ่งรีบด่วนให้ใครต่อใครทราบ เพราะนักบริหารเก่งก็ไม่ควรที่จะตายเพื่อความถูกต้อง คนที่ยอมตายเพื่อความถูกต้องนั้นควรเป็นนักอุดมการณ์เท่านั้น นักบริหารจึงควรอยู่เพื่อใช้ความเก่งบริหารให้เกิดความถูกต้องนั้น ดังนั้นเมื่อใดที่ต้องตัดสินใจบนความถูกต้องแต่ไม่ถูกใจคนให้พิจารณาถูกที่สามครับ
ถูกที่สามคือ “ถูกจังหวะ” หรือจะเรียกว่า “ถูกเวลา”ก็ได้
เรื่องที่ต้องตัดสินใจใดก็ตามที่ถูกต้องแต่ไมถูกใจต้องรอให้ถูกจังหวะก่อนจึงจะให้ผู้เกี่ยวข้องรับรู้ เช่น ปีนี้กำไรลดโบนัสลดเรื่องอย่างนี้จะประกาศแบบปุบปับไม่ได้นะครับ อาฟเตอร์ช็อคอาจจะรุนแรงเกินความคาดหมายก็เคยเห็นปรากฏเป็นบทเรียนกันมาแล้ว
เมื่อปี ๒๕๔๐ บริษัทเครื่องไฟฟ้าแห่งหนึ่งแถวสวนหลวงให้โบนัสพนักงานน้อยกว่าปีที่ผ่านมา แต่ให้รู้แบบทันทีทันใดไม่บอกล่วงหน้า พอทราบปั๊บก็เกิดความวุ่นวายประท้วงทันที ทางบริษัทพยายามจะอธิบายก็ไม่ทันอารมณ์พนักงาน เกิดการเผาโรงงานกันในวันที่ควรจะยินดีเพราะโบนัสออกเป็นข่าวใหญ่และน่าจะเป็นบทเรียนสำหรับนักบริหารทั้งหลาย
การทำให้ “ถูกจังหวะ”นั้นคือการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจเสียก่อนว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องทำสิ่งที่ไม่ถูกใจนั้น หมายความว่าจังหวะจะเปิดเมื่อคนเข้าใจ ซึ่งความเข้าใจของคนจะมีที่มาได้ ๒ ทางด้วยกัน ทางแรกคือความเข้าใจที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย บรรยากาศหรือสิ่งแวดล้อมทำให้ใครต่อใครเห็นว่าการตัดสินใจนั้นสอดคล้องกันอยู่แล้ว ทางที่สองคือ นักบริหารทำให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบเข้าใจ
เช่น ปัจจุบันนี้มีการเผยแพร่เรื่องราวของ”ภัยแล้ง”รับรู้กันทั้งประเทศรวมทั้งคาดว่านอกประเทศก็รู้ด้วย ถ้าทางบริษัทจะออกระเบียบปฏิบัติให้มีการประหยัดการใช้น้ำ ทำให้พนักงานไม่ได้รับความสะดวกเหมือนอย่างเดิม เรื่องอย่างนี้ คงไม่ต้องอธิบายหรือชี้แจงเหตุผลความจำเป็น เพราะพนักงานคนไหนสงสัยข้องใจว่าทำไมบริษัทต้องมาเข้มงวดกวดขันเรื่องการใช้น้ำด้วย ก็น่าสงสัยว่าเพิ่งเดินทางกลับจากต่างดาวหรือว่าไร
แต่ถ้าบริษัทจะเปลี่ยนเครื่องแบบใหม่ให้มีสีต่างไปกว่าเดิม เช่น เคยใช้สีน้ำตาลจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว เรื่องแบบนี้ถ้าจะตัดสินใจทำอาจจะต้องใช้แนวทางที่สอง นั่นก็คืออาจต้องประชุมอธิบายว่าทำไมจึงเปลี่ยนเป็นสีเขียว อยากให้บรรยากาศในโรงงานสดใสขึ้น หรืออยากให้ประชาชนภายนอกเห็นว่าบริษัทเราสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่ควรทำแบบไม่ให้รู้ล่วงหน้า ลุ้นเอาตอนคึงเสื้อผ้าออกจากถุง อย่ามั่นใจว่าคนของเราจะชอบสีเขียวมากกว่าสีน้ำตาล
นักบริหารทุกคนแหละครับอยากจะทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ต้องแน่ใจนะครับว่าสิ่งที่จะทำคือความถูกต้องจริง ๆ ไม่แน่ใจก็ควรจะรู้วิธีหาความถูกต้อง ไม่งั้นเราอาจจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องโดยคิดว่าถูกต้อง เกิดความเสียหายต่อองค์กรหรือส่วนรวม และควรจะพิจารณาได้ว่าสิ่งที่ถูกต้องที่เราตัดสินใจทำนั้นถูกใจผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือไม่ ถ้าถูกใจก็ทำไปเถอะครับ ไม่ต้องคำนึงอะไรอีกแล้ว ผู้คนจะไชโยโห่ร้องพออกพอใจแน่นอน แต่ถ้าคิดว่าไม่ถูกใจผู้คนก็อย่าเพิ่งรีบร้อนรอให้ถูกจังหวะหรือทำให้คนเข้าใจเสียก่อนค่อยแจ้งการตัดสินใจ นักบริหารที่ดีไม่ควรมาตายแม้จะเพื่อความถูกต้องก็เถอะ