เรียกได้ว่า ควันไฟยังไม่จางหาย สำหรับผลการลงประชามติของ “สหราชอาณาจักร” ซึ่งประกอบไปด้วย อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ที่ฝ่าย Brexit (กลุ่มผู้สนับสนุนให้สหราชอาณาจักร ออกจากอียู) ได้เชือดเฉือนคะแนน ฝ่าย Bremain (กลุ่มผู้ไม่สนับสนุนให้สหราชอาณาจักร ออกจากอียู) ด้วยผลโหวตชนะ ร้อยละ 52 ต่อ 48 จนส่งผลให้ เดวิด คาเมรอน นายก ฯ อังกฤษคนปัจจุบัน ต้องประกาศอำลาเก้าอี้ ในเดือนตุลาคม ซึ่งก่อนหน้านั้น ได้มีท่าทีมั่นใจว่า ฝ่าย Bremain ที่ตนสนับสนุน จะชนะในเกมส์นี้
แม้ว่า ผลประชามติที่เกิดขึ้น จะยังไม่สามารถฟันธงได้ว่า อังกฤษจะถอนตัวจาก ‘อียู’ ได้จริงหรือไม่ ด้วยต้องรอให้เรื่องผ่านกระบวนการ ลงมติในสภาฯเสียก่อน รวมถึงการดำเนินการลาออกจากอียู ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี จึงจะมีผล แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ดูเหมือนว่าจะได้รับแรงกระเพื่อม และเกิดความหวั่นไหวต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่น้อยเลยทีเดียว เริ่มจาก ค่าเงินปอนด์ของอังกฤษ อ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 31 ปี เช่นเดียวกับราคาน้ำมันในตลาดเอเชีย ที่ดิ่งลงกว่าร้อยละ 6 รวมไปถึงตลาดหุ้นเอเชีย มีแนวโน้มดิ่งตัวลงอีกด้วย
แต่สถานการณ์ในบ้านเรา มีนักวิชาการด้านเศรษฐกิจหลายท่าน ออกมาประเมินว่า ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ เพราะว่ากลุ่มการค้าอียู ไม่ได้ตกลงทำการค้าระหว่างไทย มาระยะหนึ่งแล้ว ส่วนในกรอบของความร่วมมือเอเชีย-ยุโรป ส่วนใหญ่เป็นกรอบความร่วมมือด้านการเมือง และการต่างประเทศเท่านั้น
อีกทั้ง ‘การออกจากอียู’ ส่งผลให้อังกฤษมีอิสระ ในการดำเนินนโยบายต่างๆ มากขึ้น โดยอังกฤษจะสามารถเจรจากับไทยได้ทันที โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบ จากคณะกรรมาธิการยุโรปอีกต่อไป ส่วนในเรื่องของสินค้าไทย ที่ส่งออกไปยังอังกฤษ หากได้รับผลกระทบ เรื่องปรับระบบภาษีศุลกากร ฝ่ายอังกฤษต้องหารือกับไทยเพื่อรับผิดชอบ โดยชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
ยังเชื่อกันอีกว่า สินค้าส่งออกการเกษตรของไทย จะได้รับผลกระทบทางตรงไม่มาก เนื่องจากบ้านเราส่งออกสินค้าชนิดนี้ไปอังกฤษเพียง 1.21 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็น 2.88 % ของมูลค่าสินค้าเกษตรรวม
เนื่องจากไทยมีการค้ากับอียู คิดเป็นการส่งออก 9-10% ของภาคการส่งออกทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการส่งออกไปสู่อังกฤษ ไม่ถึง 2% ซึ่งระยะเวลาอันสั้น อาจทำให้การสั่งซื้อสินค้าของไทยชะลอตัวบ้าง เพราะค่าเงินปอนด์อ่อนกำลังลง ส่งผลต่อการตัดสินใจในการสั่งซื้อสินค้านำเข้า ซึ่งหากมองในแง่บวก การที่ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลง ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น เงินบาทอ่อนตัวลง อาจส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกดีขึ้นนั่นเอง
ด้านภาพรวมของการท่องเที่ยว ในชาวต่างชาติจากยุโรป ก็ยังไม่ถือว่า ได้รับผลกระทบมากนัก คาดการณ์ว่า กรณีที่เงินยูโรอ่อนค่าลง 5-10% จำนวนนักท่องเที่ยวในไทย อาจลดลงไม่เกิน 5% ยกเว้นในบางประเทศที่มีความอ่อนไหว อาทิ สเปน เยอรมนี ฟินแลนด์ อิตาลี เป็นต้น อาจลดลงได้ถึง 10%
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีความได้เปรียบ หากอังกฤษยกเลิกมาตรการ เดินทางเข้าเมืองโดยไม่ต้องขอวีซ่า ซึ่งอาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ หันมาสนใจท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพราะการขอวีซ่าเป็นเรื่องยุ่งยากนั่นเอง
กัลย์วิตา จิราวิภูเศรษฐ์