ย่างเข้าสู่ฤดูฝนกันอย่างเป็นทางการ หากสังเกตุกัน ช่วงนี้มีอาการหนึ่งที่พบกันได้บ่อยที่สุดก็คือ “อาการจาม” ซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของไข้หวัด รู้หรือไม่ว่าการจาม นอกจากส่อถึงอาการเริ่มแรกของไข้หวัดแล้ว ยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงโรคภัยไข้เจ็บชนิดอื่นได้อีกด้วย
ทั้งนี้การ “จาม” เป็นกลไกของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้เกิดการระคายเคืองในโพรงจมูก อาจเกิดจากไข้หวัด ภูมิแพ้ หรือการระคายเคืองต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ มลพิษ น้ำหอม หรืออากาศเย็น และมีการวิจัยในอังกฤษพบว่าคนบางกลุ่มจะจามออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อคิดถึงเรื่องทางเพศ และมีบางคนที่จามหลังจากถึงจุดสุดยอด ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยอาการนี้เรียกว่า “จมูกอักเสบน้ำผึ้งพระจันทร์ (Honeymoon Rhinitis)”
นอกจากนี้ยังมีรายงานที่ระบุว่าประมาณ 18-35% ของประชากรโลกจะมีอาการจามเมื่อเจอกับแสงแดด อาการแบบนี้เรียกว่าการจามที่เกี่ยวกับแสง ซึ่งถ่ายทอดมาทางกรรมพันธุ์เช่นกัน
ในการจามแต่ละครั้ง กล้ามเนื้อต่อไปนี้จะทำงานร่วมกัน ได้แก่ กล้ามเนื้อส่วนท้อง กล้ามเนื้อหน้าอก กระบังลม กล้ามเนื้อที่ควบคุมสายเสียง กล้ามเนื้อด้านหลังลำคอ และกล้ามเนื้อเปลือกตา โดยอาการนี้เรียกว่า “จมูกอักเสบน้ำผึ้งพระจันทร์ (Honeymoon Rhinitis)” เป็นอาการคัดจมูกในระหว่างมีเพศสัมพันธ์หรือมีความต้องการทางเพศ
แล้วอาการ “จาม” ก่อให้เกิดอันตรายได้อย่างไร อันดับแรกเลย คือ “การกลั้นจาม” ซึ่งไม่ควรทำ เนื่องจากอัตราความเร็วในการจามแต่ละครั้งนั้นสูงถึง 150-160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การกลั้นจามจะทำให้เกิดแรงอัดอากาศภายใน อาจทำให้เยื่อแก้วหูแตกหรือเป็นรูได้
ทั้งนี้หากจะ “จาม” ควรปิดปากเวลาจาม เพราะหากคุณจามเนื่องจากอาการไข้หวัดจะทำให้เชื้อไวรัสที่อยู่ในหยดเมือกที่ออกมากับการจาม แพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น โดยผลงานวิจัยของอังกฤษระบุว่า หากจาม 1 ครั้งโดยไม่ปิดปากจะมีละอองออกมาถึง 100,000 หยด กระจายออกมา
อันดับต่อไปหากเกิดอาการจามบ่อยๆ คุณอาจจะกำลังเป็น “โรคภูมิแพ้”ก็เป็นได้ ซึ่งจะมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่น
1.อาการคันในจมูก บางรายอาจคันตา คันเพดานปาก คันในคอ หรือคันในหูด้วย
2.มีน้ำมูกใสๆ ไหลมาก
3.คัดแน่นจมูก มักเป็นสลับข้างกัน
4. หูอื้อ ปวดมึนศรีษะ จมูกไม่ได้กลิ่น มีน้ำมูกไหลลงคอ หรือมีเสมหะติดในคอ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ หงุดหงิด
สำหรับโรคที่จะเกิดตามมาหากมีอาการหนักขึ้นก็คือ “โรคจมูกอักเสบ” จากภูมิแพ้โรคแพ้อากาศ หรือที่เรียกกันว่า “แพ้อากาศ” เป็นโรคที่พบบ่อยในประเทศไทย ในผู้ป่วยเด็กและวัยหนุ่มสาว ซึ่งมีอาการเรื้อรัง สร้างความรำคาญให้แก่ผู้ป่วย, ผู้ปกครอง และอาจเกิดโรคแทรกซ้อนเป็นไซนัสอักเสบ และหูชั้นกลางอักเสบได้
อาการของโรคนี้ต่างจากอาการหวัด มักมีอาการเรื้อรังเป็นๆ หายๆ อาการเด่น คือ น้ำมูกใส จาม และคัดจมูก ไม่มีไข้ อาจมีอาการไอเรื้อรังด้วย เนื่องจากมีเสมหะไหลลงคอทำให้ระคายคอ ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วก็ควรจะรีบปรึกษาแพทย์โดยทันที
อย่างไรก็ตาม หากหลีกเลี่ยงเรื่องของการ “จาม” ไม่ได้จริงๆ ก็ควรจะต้องต้องฝึกการจามที่ถูกวิธีเอาไว้ โดยมีวิธีการคือ ก่อนจามให้ยกแขนข้างใดข้างหนึ่งขึ้นมาจับไหล่ของตัวเองฝั่งตรงกันข้าม ถ้าแขนขวาก็จับไหล่ซ้าย ถ้าแขนซ้ายก็จับไหล่ขวา จากนั้นให้ยกมุมข้อศอกขึ้นมาปิดปากและจมูกตัวเองก่อนแล้วค่อยจาม วิธีนี้จะทำให้ละอองน้ำลายไม่กระเด็นไปไหน และมือก็ไม่เปื้อนเชื้อโรคด้วย หรืออย่างน้อยๆ ก็ควรหาผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชูปิดปากไว้เวลาจาม แล้วทิ้งถังขยะให้เป็นที่เป็นทาง ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดการแพร่กระจายของละออง หรือเชื้อไข้หวัดได้เช่นกัน
ที่มา : Thaiquote