คลอดแล้วมาตรการพี่ใหญ่ช่วยน้อง SME


คลอดแล้วมาตรการพี่ใหญ่ช่วยน้อง SME

นายกฯ เห็นชอบมาตรการ “พี่ช่วยน้อง” เปิดทางบริษัทขนาดใหญ่นำค่าใช้จ่ายช่วยเอสเอ็มอีไปหักภาษีได้ 2 เท่า พร้อมเห็นชอบมาตรการหนุนภาคเอกชนช่วยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในชนบท นำค่าใช้จ่ายหักภาษีได้ 2 เท่าเช่นกัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี (มาตรการพี่ช่วยน้อง) และมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในชนบท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

สาระสำคัญของมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี (มาตรการพี่ช่วยน้อง) คือการส่งเสริมให้บริษัทใหญ่ช่วยบริษัทเล็กหรือเอสเอ็มอี โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายที่ช่วยเอสเอ็มอี เช่น ถ่ายทอดความรู้ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การส่งเสริมการตลาด

หากไม่มีอำนาจควบคุมดูแลในกิจการของน้อง สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักภาษีได้ 2 เท่าของรายได้ แต่ไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิ โดยนิยามของบริษัทขนาดใหญ่ต้องมีทรัพย์สินถาวรมากกว่า 200 ล้านบาท มีพนักงานเกิน 200 คน ส่วนนิยามของบริษัทเล็ก หรือเอสเอ็มอี เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นเอสเอ็มอีซึ่งเป็นธุรกิจที่มีทรัพย์สินถาวรไม่เกิน 200 ล้านบาท และการจ้างงานไม่เกิน 200 คน

สำหรับมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในชนบท โดยกระทรวงการคลังเสนอให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการจ่ายเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งท่องเที่ยวในชนบท การลงทุน เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน ทางพิเศษหรือสัมปทาน โทรคมนาคม ไอซีที พลังงานทางเลือก ระบบบริหารจัดการน้ำหรือชลประทาน ระบบป้องกันภัยธรรมชาติ ระบบจัดการของเสีย

การลงทุนดังกล่าวต้องสอดคล้องกับระเบียบมหาดไทยว่าด้วยการพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนคำว่าแหล่งท่องเที่ยวรวมถึงอุทยานแห่งชาติ โบราณสถาน แหล่งท่องเที่ยวอื่น องค์การของรัฐ โดยต้องได้รับการรับรองจากราชการและต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้กับองค์การของรัฐโดยไม่มีค่า

ทั้งนี้คาดมาตรการทั้งสองข้อนี้จะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ปีละ 5,000 ล้านบาท แต่เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมไทย ก่อให้เกิดการจ้างงาน และการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคเอกชนก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวในชนบท ส่งผลให้ชนบทได้รับการพัฒนา โดยไม่ต้องรองบประมาณจากภาครัฐ และสอดคล้องกับความต้องการสาธารณูปโภคในชนบทอย่างแท้จริงตามแนวทางประชารัฐ