4 เทคโนโลยีที่หวังจะเปลี่ยนแปลงโลก แต่สุดท้ายก็ล้มไม่เป็นท่า


4 เทคโนโลยีที่หวังจะเปลี่ยนแปลงโลก แต่สุดท้ายก็ล้มไม่เป็นท่า

โลกเราทุกวันนี้เปลี่ยนไปแทบจะทุกวันเลยนะครับ ตั้งแต่มีอินเทอร์เน็ตเข้ามา อะไร ๆ ก็สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น ลองนึกดูว่าแต่ก่อนเราต้องลำบากแค่ไหนกว่าจะติดต่อสื่อสารกันได้แต่ละที ไม่ใช่ง่าย ๆ เลยนะ แต่รู้มั้ยว่าก่อนที่โลกเราจะก้าวเข้ามาสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างทุกวันนี้ ก่อนที่อะไร ๆ มันจะง่ายดายขนาดนี้ มนุษย์เราได้มีการคิดค้นและผลิตอุปกรณ์ต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย เพื่อหวังจะช่วยให้การใช้ชีวิตเป็นไปได้ง่ายขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น แต่ก็ต้องล้มพับมันลงไปซะตั้งหลายโปรเจคต์ วันนี้เราจะมาพาไปย้อนอดีตกันว่า 4 นวัตกรรมที่เค้าคิดค้นหวังที่จะเปลี่ยนแปลงโลก แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นไปตามคาด ต้องยุบทิ้งและลบโปรเจคต์กันไป มันมีอะไรบ้าง ตามไปชมกันเลย

1. Smell-O-Vision

ในปี 1960 ก่อนที่ Hollywood จะทำภาพยนตร์แบบ 4D มาให้เราได้ชมกันแบบทุกวันนี้ ได้มีนักประดิษฐ์ชื่อ Hans Laube ทดลองสร้างเจ้าเครื่องส่งกลิ่นระหว่างดูภาพยนตร์นี้ขึ้นมา ภายใต้ชื่อว่า “Smell-O-Vision”
ซึ่งเจ้าเครื่องนี้สามารถผลิตกลิ่นที่ตรงกับความต้องการตามเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ที่เราดูกันอยู่ได้ และมีกลิ่นที่แตกต่างกันออกไปมากถึง 30 กลิ่นเลยทีเดียว โดย Laube เจ้าของเครื่องเองก็เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่ามันจะสามารถช่วยเพิ่มอรรถรสในการดูหนังให้มากขึ้นกว่าเดิมได้แน่นอน
แต่ดูเหมือนสิ่งที่เค้าคาดหวังจะกลับตาลปัตร เมื่อเหล่าสื่อมวลชนที่ได้ไปชมภาพยนตร์ในรอบแรกที่เปิดใช้เครื่องนี้ต่างพากันรีวิวและรายงานออกมาในทิศทางที่ไม่ดี บ้างก็บอกว่าได้ยินเสียงเครื่องพ่นกลิ่นนี้ดังมาตลอดการชมภาพยนตร์เลย บ้างก็บอกว่าได้กลิ่นแปลก ๆ อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด จนสุดท้ายเจ้า Smell-O-Vision ที่ดูเหมือนจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงก็ต้องถูกรื้อทิ้ง และวางฝุ่นจับพับโปรเจคต์กันไป

2. Segway

segway

คุ้นหน้าคุ้นตากันดีใช่มั้ยครับกับเจ้าเครื่อง Segway ตัวนี้ เพราะเมื่อไหร่ที่ไปสนามบิน ไปตามห้างใหญ่ เราก็ยังคงเห็นมันโลดแล่นอยู่ไม่ขาดสาย แต่เพราะข้อจำกัดที่มากมายเหลือเกินทำให้ผู้ผลิตอย่าง Dean Kamen ต้องคิดหนัก
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น Kamen ผู้ผลิตเจ้า Segway นี้มั่นใจกับสินค้าของตัวเองมากจนถึงกับประกาศกร้าวออกมาเลยว่า “ผลิตภัณฑ์ของฉันมันต้องมาแทนที่รถยนต์ในอนาคตแน่นอน” ทำให้บริษัทตั้งราคาเจ้าเครื่องนี้แพงหูฉี่ บางรุ่นกระโดดไปสูงถึง $7,000 เลยทีเดียว
แต่สุดท้ายคนไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ เพราะในปี 2002 หลังจากได้วางจำหน่ายเจ้าเครื่องนี้ไป ผลตอบรับกลับไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากผู้คนก็ไม่รู้ว่าจะซื้อมันมาทำไม บ้านฉันก็มีรถแล้ว บ้านฉันก็มีมอเตอร์ไซค์แล้ว อีกทั้งหลายประเทศยังออกกฎว่าต้องมีใบขับขี่เท่านั้นนะถึงจะใช้เจ้า Segway นี้ได้ ทำให้สุดท้ายบริษัทก็ต้องลดต้นทุน ขายทิ้งพี่จีนกันไปในราคาถูก ๆ ตามสูตร

3. Apple Newton MessagePad

apple-newton-messagepad

แปลกใจเลยใช่มั้ยล่ะที่มี Apple โผล่เข้ามาอยู่ในลิสต์รายการสินค้าล้มเหลวกับเค้าด้วย ซึ่งเจ้าเครื่องนี้ก็คือมือถือผู้ช่วยแบบพกพา เอาไว้ให้คุณหมอใช้ในโรงพยาบาลคล้าย ๆ กับแทบเล็ตที่เราเห็นกันอย่างทุกวันนี้นี่แหละ
แต่ด้วยความที่หน้าจอของเจ้า Newton’s มันอ่านยากไปนิด เพราะเทคโนโลยีเบื้องหลังของมันเป็นแบบตรงไปตรงมา ไม่ค่อยฉลาดเหมือนสมัยนี้ ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าเครื่องนี้น่ะเหรอ หึ เปลี่ยนโลกไม่ได้หรอก
ตัวคนพัฒนาอินเตอร์เฟซหรือหน้าจอแสดงผลอย่าง Steve Capps ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องนี้ เค้าทราบถึงข้อเสียของมันดีว่าเจ้าเทคโนโลยีตัวนี้มันยังไม่พร้อมที่จะให้คนได้ใช้งานจริงหรอก สุดท้ายก็ต้องล้มเลิก ปิดประตูให้กับเจ้า Newton’s ไปในปี 1998

4. Microsoft “Clippy”

microsoft-clippy

เด็กยุค 80 ขึ้นไปที่โตมากับคอมพิวเตอร์วินโดวส์ 97 คงคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับเจ้าคลิปหนีบกระดาษจอมพูดมากตัวนี้ ซึ่ง Clippy นี้ทาง Microsoft หวังเอาไว้อย่างมากเลยว่ามันจะเป็นเหมือนผู้ช่วยเสมือนจริงในการพิมพ์รายงานอะไรต่าง ๆ มันจะช่วยแก้คำ ตรวจนู่นนี่ ถามว่าต้องการอันนั้นมั้ย อันนี้มั้ย พูดง่าย ๆ คือจะช่วยให้คนเขียนเอกสารได้ดีขึ้นนั่นแหละ

แต่ความฝันกับความจริงมันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน เพราะทันทีที่ผู้คนได้ลองสัมผัส ใช้งานเจ้า Clippy นี้กระแสตอบรับก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันตามคาดคือ…เหลวเป๋ว ก็เพราะเจ้าตัวผู้ช่วยแสนรู้ตัวนี้มันรู้ใจผู้ใช้มากเกินไป คอยถามไถ่ตลอดเวลา ขึ้นมารบกวนการทำงาน ขัดจังหวะตอนกำลังใช้สมาธิ แถมบางครั้งยังเปิดเอกสารขึ้นมาให้เขียนทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อยากจะเขียนอะไรเลยด้วย จะรู้ใจไปไหนเนี่ย

แต่ถึงแม้จะโดนกล่าวหา โดนคนต่อว่าแค่ไหน เจ้า Clippy ก็ยังทำหน้าที่ของมันอย่างหน้าชามาจนถึงวินโดวส์ 2004 และสุดท้ายก็ได้ปลดระวาง เกษียนตัวเองออกไป ปล่อยให้คนเราใช้งานไมโครซอฟต์เวิร์ดกันอย่างสันติมาจนถึงทุกวันนี้

By : นริศ เส้นขาว

Cr : Business Insider