คาดคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% เศรษฐกิจไทยยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ต่อเนื่อง ในการประชุมวันที่ 14 กันยายน 2559 เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศของไทยยังไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ การขยายตัวของเศรษฐกิจในภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจมีผลต่อการประชุมนโยบายการเงินของ กนง. ในวันที่ 14 กันยายน 2559 ดังนี้

  • กนง.น่าจะตัดสินใจ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง เนื่องจากยังพอมีปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะที่เหลือของปีนี้ ทั้งนี้เป็นผลมาจากอัตราการขยายตัวของภาคการเกษตรยังดีอย่างต่อเนื่องโดยมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 2 % ภาคการเกษตรดังกล่าวจะช่วยในการบริโภคภายในประเทศให้กระเตื้องขึ้น เพราะเป็นประชากรรากฐานของสังคม
  • ภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวดีมาก โดย 7 เดือนแรกของปี 2559 ปริมาณนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทยมียอดที่สูงกว่าปี 2557 และ 2558 ซึ่งคาดว่าจะเป็นรายได้หลักครองอันดับ 1 ของประเทศในปีนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ด้วยภาพของเศรษฐกิจไทยที่ยังมีปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัว ยังคงสนับสนุนการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง โดยแม้ว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจบางตัว อาทิ เครื่องชี้การบริโภคและการลงทุน จะเริ่มมีทิศทางชะลอลงบ้าง แต่คงไม่น่าจะกระทบภาพรวมการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะสามารถขยายตัวได้สูงกว่าระดับ 3.0% ขณะที่รายได้เกษตรกรที่ปรับฟื้นตัวขึ้น บ่งชี้ว่าความเสี่ยงด้านขาลงอาจเริ่มจำกัด เมื่อประกอบกับภาคการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตได้ดี แรงส่งจากการเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง และปัจจัยเสี่ยงด้านการเมืองที่ผ่อนคลายลง (คงช่วยให้ความเชื่อมั่นต่างๆ มีแนวโน้มปรับดีขึ้น) น่าจะช่วยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าได้ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า กนง. ยังสามารถที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันที่ 1.50% ได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ธนาคารกสิกรไทยยังมองว่าปัจจัยภายนอกยังไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยมากมายนัก แต่จำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในประเด็นดังต่อไปนี้

  • ผลของ Brexit ยังไม่ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจในยูโรโซนยังคงบ่งชี้ถึงผลกระทบจาก Brexit ที่ยังคงจำกัดอยู่ในภูมิภาค โดยดัชนี PMIs ในยูโรโซนปรับลดลงไม่มาก ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจในสหราชอาณาจักรหลายตัวยังคงอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี หลังจากเหตุการณ์ Brexit นอกจากนี้ ความผันผวนของตลาดเงิน-ตลาดทุนก็ได้ปรับลดลงไปมาก เมื่อเทียบกับในช่วงแรกที่ตอบรับเหตุการณ์ Brexit
  • ประเด็นความเสี่ยงด้านการเมืองจากประเทศในยูโรโซน และการเลือกตั้งสหรัฐฯ ยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในตอนนี้ โดยผลบางส่วนจากเหตุการณ์เหล่านี้ คงเกิดขึ้นในช่วงปลาย ต.ค.- ต้น พ.ย. ซึ่งเป็นจังหวะที่อิตาลีจะมีการลงประชามติเกี่ยวกับการปรับแก้รัฐธรรมนูญ และสหรัฐฯจะมีการเลือกตั้ง ในวันที่ 4 พ.ย. นี้ ทั้งนี้ กนง. คงจับตาพัฒนาการของเหตุการณ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิดในระยะต่อไปว่าจะมีการส่งผ่านผลกระทบไปยังภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงไทยหรือไม่
  • ธนาคารกลางต่างๆ ยังคงไม่น่าจะมีการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินอย่างมีนัยสำคัญในช่วงนี้ ล่าสุด ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ไม่มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมเดือน ก.ย. 59 นี้ ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การประชุมธนาคารญี่ปุ่นและการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 20-21 ก.ย. 2559 นี้ ก็ไม่น่าที่จะมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำเนินนโยบายการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะยังไม่ขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ในการประชุมรอบนี้ ขณะที่ ธนาคารกลางญี่ปุ่นก็อาจจะยังไม่ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นขนานใหญ่ออกมาเช่นกัน

กล่าวโดยสรุปเศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลมากนัก ทั้งนี้เนื่องจากการเติบโตของภาคเกษตรยังมีความหวัง และตลาดหลักด้านการท่องเที่ยวมีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ตลาดส่งออกไปในกลุ่มประเทศยุโรปอาจลดลง แต่การเติบโตของตลาดใหม่ก็มีความหวังอยู่มาก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่ผ่านการค้าชายแดนต่าง ๆ ของไทยคึกคักและเติบโต ส่วนปัจจัยความเสี่ยงอื่น ๆ ที่มีผลกระทบจากต่างประเทศนั้น เป็นเรื่องที่ต้องจับตามองและหาทางป้องกันต่อไป