ถ้าจะบอกว่า Adele ไม่ไช่ Pop Star ก็คงจะเป็นคำพูดที่โกหกไม่น้อย เพราะไม่นานนี้อัลบั้ม 25 ที่เพิ่งออกวางเพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ทำยอดขายทะลุ 3 ล้านก้อปปี้ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกของบริษัท Nielsen และก่อนนั้นอัลบั้ม 21 ยังสามารถรั้งอยู่ในสุดยอด Billboard 200 chart ติดต่อกันนาน 24 สัปดาห์ Adele ถือเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ติดอันดับยาวนานในประวัติการณ์ ยังไม่พอแค่นั้นเพราะชื่อของเธอยังถูกการันตีคุณภาพด้วย 10 รางวัลแกรมมี่
ด้วยการตอกย้ำเรื่องราวความเป็นสุดยอดนี้ Adele จึงเป็นศิลปินที่มีคนอยากได้ยินและดูเธอโชว์มากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเราคงได้เห็นเธอเฉิดฉายอย่างนี้อีกนาน เพราะคอนเสิร์ตThe Adele Live 2016 สามารถขายบัตรหมดเพียงไม่กี่นาทีในอเมริกา เมื่อ Adeleไปโชว์ที่ไหนก็ตามเธอจะมอบความสุขให้แฟนประทับใจและเพื่อย้ำถึงชื่อเสียงที่เธอมีให้แผ่กระจาย Adele ยังมีวิธีการทำงานต่างจากซุปเปอร์สตาร์ก้องโลกคนอื่นๆ นั่นคงไม่แปลกอะไรเพราะทุกคนต่างมีกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่แตกต่างกัน
ขณะที่ความเป็นคนเปิดเผยและดูจริงใจจริงของ Adele ทำให้เธอเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ ด้าน Beyoncé เธอใช้ความลึกลับน่าค้นหาเพื่อสร้างเสน่ห์ (เพราะเธอไม่ค่อยให้สัมภาษณ์) ส่วน Taylor Swift พรีเซนเตอร์โคคาโคล่าผู้สามารถยึดครองพื้นที่สื่อทั่วทุกมุมโลก ทั้งสามคนต่างมีวิธีสร้างแบรนด์ให้กับตัวเองที่แตกต่างกัน
Adele สร้างเสน่ห์ให้กับตัวเองด้วยการถ่อมตัว ตลกโปกฮาตามประสาคนง่ายๆ และปิดตัวเองออกจากโลกมายาที่หวือหวา เธอยังคงเป็นแบบนี้เรื่อยมา เพราะขณะที่ดาราเซเลบคนอื่นมักใช้ช่างภาพชื่อดังบวกกับการจัดแสง แต่งหน้าทำผมแบบครบเครื่อง ด้าน Adele เซลฟี่ตัวเองขณะกระหืดกระหอบในห้องซ้อมและโพสต์วีดีโอตอนกำลังป่วยเพื่อขอโทษแฟนคลับที่เธอจำต้องเลื่อนการแสดงออกไป
ทำให้สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด มันเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจในกลยุทธ์ของเธอนัก ไม่รู้ว่ามันเป็นไอเดียการสร้าง Personal Branding ยังไง แต่มันกลับทำให้ตัวเองดูดีไม่น้อย เธอพูดในสิ่งที่คิดเช่นการใช้สำเนียงท้องถิ่นซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่กล้ามากเพื่อแสดงถึงรากเง้าของตัวเองและเวลาออกงานเธอก็มักจะให้แฟนๆถ่ายรูปอย่างใกล้ชิด
หลายคนบอกว่าสิ่งที่ Adele ทำก็เพียงแค่การสร้างความเป็นศิลปินให้กับตัวเอง แต่ไม่ใช่หรอกเพราะกลยุทธ์การสร้างแบรนด์แบบนี้มันต้องออกมาจากตัวตนของเธอเองด้วย เธอต้องมั่นใจว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นเธอมันถึงจะยั่งยืนคงทน
อีกฝั่งที่ตรงข้ามกันสิ้นเชิงอย่าง Beyoncé ขณะที่ Adele นำเสนอความสมจริงเหมือนไม่ได้ตระเตรียมมาก่อน แต่ Beyoncé กลับวางหมากไว้ราวตั้งใจ เธอเป็นศิลปินที่ดูลึกลับเพื่อให้แฟนๆต้องการค้นหาเธอมากขึ้น หลายๆเรื่องราวเธอมีการสร้างStoryที่ต่างกัน กลยุทธ์ของ Beyoncé จะแยกกันอย่างชัดเจนระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว มันคือการค่อยๆขับเคลื่อนแบรนด์ของเธอจากแชมป์สาวอิโนเซ้นสู่สาวมั่นที่มีพลังดึงดูดราวกระแสไฟ
สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือเธอค่อนข้างใส่ใจเรื่องภาพลักษณ์ของเธอมาก เมื่อเหล่าแฟนคลับพยายามถ่ายรูปเธอในนอกเวลางาน แต่เธอกลับปฏิเสธแล้วปล่อยให้แฟนคลับได้แต่ยืนมอง (เป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมา) Beyoncé เป็นศิลปินที่ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ เธอไม่เคยกลัวที่จะหายไปจากสื่อ เพราะเธอต้องการสร้างแบรนด์ตัวเองให้ออกมาในแง่มุมของงานศิลปะ ซึ่งเราจะเห็นเธอน้อยครั้งมากแต่ครั้งไหนที่เธอออกสื่อครั้งนั้นต้องเป็นที่จดจำ
ถัดมาเป็นศิลปินที่ถูกพูดถึงและแชร์มากที่สุด ชอบบอกรักทุกคนเพื่อ?แต่ก็นี่แหละคือ Taylor Swift เธอเข้าถึงแฟนคลับได้ดีมาก หรือที่หลายคนรู้จักในนาม “Swifties” เพราะเธอชอบชวนเพื่อนและแฟนคลับไปค้างที่บ้านและพวกเขายังได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี ที่สำคัญแฟนคลับยังได้รับเชิญมาเล่น MV เพลง Shake It Off อีกด้วย ข้อดีของเธอคือสามารถสร้างการเข้าถึงลูกค้าและให้ลูกค้าจงรักภักดีต่อแบรนด์ของเธอได้อย่างน่าทึ่ง ทุกครั้งที่มีคอมเม้นท์ไม่ดีออกสื่อแฟนคลับจะตามมาปกป้องและแก้ต่างให้เธอเสมอ
Swift เป็นคนเปิดเผย โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเพื่อนเซเลบคนอื่นๆ เธอขึ้นชื่อในเรื่องใช้ทวิตเตอร์ถกเถียงกันกับ Nicky Minaj และไม้เบื่อไม้เมาอย่าง Katy Perry เมื่อเธอทำขยับตัวทำอะไรก็ตามมักจะมีคนพูดถึงประเด็นนั้นอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะเรื่องแฟน
กลยุทธ์นี้ช่วยเธออย่างมากในการพาดหัวข่าวถึงเรื่องฉาวๆ ซึ่งก็ไม่ได้แย่นักเพราะคอนเสิร์ต 1989 tour มีคนติดตามเยอะมาก แต่เธอก็ยอมรับว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่แพร่กระจายเร็วเกินไปหน่อย เพราะทุกอย่างย้อนกลับมาหาเธอหมด ตั้งแต่นั้นมา Swift ก็เหมือนก้าวถอยหลังและเธอต้องคิดวางแผนกลยุทธ์แบรนด์ใหม่ ซึ่งบางครั้งอาจต้องใช้กลยุทธ์ของ Beyoncé เพื่อให้คนกลับมาคิดถึงเธอ
Adele, Beyoncé และ Taylor Swift เป็น3ลักษณะของศิลปินหญิงที่ไม่ย่อท้อ ต่างคนมีชื่อเสียงด้วยการใช้กลยุทธ์ที่แตกต่าง แสดงให้เห็นว่าการสร้างแบรนด์ไม่จำเป็นต้องเดินทิศทางเดียวเสมอไป สิ่งสำคัญคือวิธีคิด มุมมองที่มีต่อแบรนด์และการวางกลยุทธ์ มันไม่มีสูตรสำเร็จ เช่นเดียวกันกับกลยุทธ์ของ3ซุปเปอร์สตาร์ที่เดินทางสายป้อบเหมือนกัน แต่ใช้กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่แตกต่างกัน