รศ.สุขุม นวลสกุล
คนเป็นผู้บริหารมักจะมีเรื่องราวที่ต้องถ่ายทอดให้คนที่ทำงานด้วยได้รู้ได้ทราบอยู่เสมอ เพื่อจะได้ทำให้ทำงานได้ตรงกับจุดประสงค์หรือนโยบาย การบอกนี้อาจบอกเป็นครั้งคราว บอกครั้งเดียว บอกหลายครั้ง ก็แล้วแต่ทัศนคติของคนที่เป็นหัวหน้าที่มีต่อลูกน้องที่เป็นคนรับคำบอก
ถ้าคิดว่าลูกน้องเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนแล้วในการบอกครั้งแรกก็อาจจะบอกครั้งเดียวก็พอแล้วเรียกว่าไว้ใจ ว่างั้นเถอะ แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าเข้าใจดีพอหรือเปล่าวันหน้าวันหลังก็อาจจะตามไปบอกอีกก็ได้เรียกว่ากันพลาดหรือกันไว้ก่อน หรือแม้จะแน่ใจว่าเข้าใจแต่ก็กลัวไม่ทำตามเพราะเป็นคนดื้อรั้นก็อาจจะตามไปย้ำอีก
เพราะฉะนั้นคนเป็นนักบริหารจึงต้องพูดกับลูกน้องโดยประจำสม่ำเสมอทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ การพูดที่เป็นทางการที่นักบริหารใช้ในการพูดทำความเข้าใจในเรื่องนั้นเรื่องนี้คือ “การประชุม” โดยการประชุมที่จะสนองจุดประสงค์เบื้องต้นคือ การประชุมในลักษณะพูดทางเดียวเป็นหลัก อาจเรียกว่า “ประชุมชี้แจง”
นั่นก็คือประธานจะเป็นฝ่ายพูดฝ่ายเดียว มีเรื่องอะไรที่อยากให้ลูกน้องรู้ก็เอามาบอก ซึ่งในการประชุมแต่ละครั้งก็มักจะมีหลายเรื่องเพราะมักจะนาน ๆ ประชุมกันที หากประชุมบ่อย ๆ เรื่องก็อาจน้อยลง แต่เวลาที่ใช้ไม่แน่นอนนะครับ บางเรื่องอาจใช้เวลานานกว่าจะพูดให้เข้าใจ บางเรื่องก็เข้าใจกันได้เร็ว การประชุมแบบนี้อาจจะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมหรือผู้ฟังมีส่วนร่วมก็ในลักษณะตั้งคำถามต่อเรื่องที่พูดเพื่อให้มีความเข้าใจได้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น
เรื่องที่เอามาพูดเอามาประชุมย่อมเป็นเรื่องที่ทางผู้เป็นประธานเห็นว่าเป็นเรื่องที่สมควรเอามาชี้แจงทำความเข้าใจ เป็นเรื่องที่นักบริหารผู้เป็นประธานคิดว่าผู้เข้าร่วมประชุมควรรู้ควรทราบ ส่วนผู้มีส่วนร่วมในฐานะผู้เข้าร่วมประชุมจะคิดว่าเป็นเรื่องสมควรประชุมหรือไม่เป็นเรื่องที่บางทีท่านประธานอาจไม่เห็นความจำเป็นที่จะสนใจ
ถ้าจะทำความเข้าใจง่าย ๆ เรื่องที่พูดในที่ประชุมคือเรื่องที่ประธานอยากบอกให้ผู้ร่วมงานได้รู้ได้ทราบนั่นเอง ส่วนผู้เข้าประชุมจะอยากรู้อยากทราบหรือไม่เป็นเรื่องที่หลายท่านประธานอาจจะไม่สนใจสักเท่าไหร่ บางคนอาจคิดไปว่าเมื่อมาทำงานกับเราก็ต้อง “ฟัง” สิ่งที่เราพูดแม้บางครั้งอาจจะถึงขั้นทนฟังก็ตาม
แต่โดยธรรมชาติหรือสัญชาติญานแล้ว คนอยากฟังเรื่องที่เขาอยากรู้ เพราะฉะนั้นบางทีเวลามีการประชุมงานหรือประชุมบริษัทแล้ว แม้จะใข้เวลานานแต่เต็มไปด้วยเรื่องที่บริษัทอยากให้รู้ แต่ไม่มีเรื่องที่พนักงานอยากรู้เลย พอปิดประชุมพนักงานอาจจะบ่นในทำนองว่า “ไม่เห็นมีอะไรเลย” “เรียกประชุมทำไมก็ไม่รู้” ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายบริหารอาจจะคิดตรงกันข้ามกับผู้เข้าร่วมประชุมแบบว่า “ประชุมคราวนี้ได้เนื้อได้หนังดีแท้”
ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามา ต้องถือว่าการประชุมครั้งนั้นล้มเหลว เพราะผู้เข้าร่วมประชุมรู้สึกว่า “ไม่เห็นมีอะไรเลย” พาลไม่จดจำหรือสนใจสิ่งที่นักบริหารเห็นว่าสำคัญอุตส่าห์พูดสิ่งที่ควรรู้หรืออาจถึงขั้นต้องรู้ให้พนักงานฟังอยู่ได้ตั้งนานแสนนานกลับไม่มีคุณค่าอะไรสำหรับคนฟังหรือถึงมีก็ไม่เท่าที่ควร
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยบ้านเมืองเรายังปกครองในระบอบประชาธิปไตย สมัยนั้นราคาน้ำมันที่เราใช้เติมรถยนต์ยังไม่ขึ้นกับราคาขึ้นลงในท้องตลาด ขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรีจะเห็นสมควรโดยมีกองทุนน้ำมันเป็นเครื่องมือในการบริหารราคาน้ำมัน
บางครั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกขึ้นราคา แต่รัฐบาลเห็นว่าควรตรึงราคาน้ำมันให้ต่ำไว้เพื่อไม่ให้ราคาสินค้าขึ้นสูง รัฐบาลก็สั่งให้ขายถูกกว่าราคาตลาดหน้าตาเฉย ขาดทุนเท่าไหร่ก็ไม่เห็นเป็นอะไรควักกองทุนน้ำมันจ่ายทดแทนไป จนบางครั้งกองทุนติดลบจนน่าเป็นห่วง บางครั้งน้ำมันในตลาดโลกราคาลดลงสมควรลดราคาที่ขายตามปั๊มลง รัฐบาลกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้สั่งให้ขายราคาเดิมไม่ยอมลดแต่ดึงกำไรเข้ากองทุนเอาไว้สำรองจ่ายตอนน้ำมันราคาขึ้น
น้ำมันจะขึ้นจะลงขึ้นอยู่กับ “มติคณะรัฐมนตรี” เป็นหลัก ราคาในท้องตลาดเป็นเพียงองค์ประกอบรองเท่านั้น กาลครั้งหนึ่งบ้านเมืองเราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่งราคาน้ำมันในตลาดโลกขยับเพิ่มขึ้น วันสองวันขึ้นที ประเทศต่าง ๆ ก็ปรับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นตามกระแสตลาด แต่ประเทศไทยยังทำเฉยอยู่ยังตรึงขายราคาเดิมอยู่ ตอนนั้นพวกรถต่างประเทศตามแนวชายแดนวิ่งเข้ามาเติมน้ำมันในประเทศไทยแล้วกลับไปวิ่งในบ้านเมืองตัวเองเป็นทิวแถว
วันหนึ่ง ขณะที่คนไทยกำลังลุ้นระทึกอยู่ว่า “น้ำมันจะขึ้นราคาหรือไม่” ก็มีตัววิ่งในโทรทัศน์ทุกช่องว่า “คืนนี้เวลาประมาณ ๒๐.๓๐ น. นายกรัฐมนตรีจะออกมาพูดจาปราศัยกับประชาชน” ในระบบทีวีพูล ขอให้ประชาชนทุกหมู้เหล่าโปรดให้ความร่วมมือคอยฟังด้วย
แน่นอนครับ วันนั้นคนไทยที่สนใจในความเป็นความเป็นไปของบ้านเมืองโดยเฉพาะสนใจอยู่ว่า ตกลงน้ำมันจะขึ้นราคาหรือเปล่า นั่งฟังนอนฟังหรือถึงยืนก็คงฟัง พอถึงเวลาท่านนายกรัฐมนตรีสมัยนั้นคือคนที่อารมณ์ดี “ไม่มีปัญหา”ก็ออกมาหน้าจอตามนัด ใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาฑีก็ยกมือไหว้อำลาจอไป สร้างความผิดหวังให้กับผู้รอชมเป็นอย่างมาก
เพราะตลอดเวลาที่ออกหน้าจอท่านพูดด้วยความภาคภูมิใจถึงการที่ถูกเชิญให้ไปพูดในการประชุมสหประชาชาติที่กำลังจะมาถึง ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านตั้งใจจะไปพูดอะไรให้เขาฟังกันบ้าง พอบอกจบก็ปิดฉากอำลาไปดื้อ โดยไม่พูดถีงเรื่องการจะขึ้นหรือไม่ขึ้นราคาน้ำมันแม้แต่คำเดียว
คนฟังเขาคิดว่าท่านจะมาพูดเรื่องน้ำมันแต่ท่านกลับพูดแต่เรื่องการประชุม ท่านพูดเรื่องที่อยากบอก คนฟังอยากฟังเรื่องที่อยากรู้ ไปคนละทางเลยละครับ ท่านนะอาจจะสมหวังแต่คนฟังซิครับที่ผิดหวัง หลายคนบอกว่าดีนะวันนั้นที่ดูหรือชมจากทีวีของตัวเอง ถ้าเป็นทีวีสาธารณะของหลวงละก็อาจถึงขั้นต้องช่วยกันยกทุ่มให้แตกหักเสียหายไปเลยให้สมกับที่สร้างความผิดหวังให้
จริง ๆ แล้ว ในการพูดวันนั้น ท่านอยากบอกเรื่องการไปประชุมสหประชาชาติก็ว่าไป แต่สักตอนหนึ่งตอนจบก็ได้อย่าลืมพูดเรื่องจะเอาอย่างไรกับราคาน้ำมันให้ประชาชนได้รู้ในสิ่งที่เขาอยากทราบ ยังไม่รู้จะเอาอย่างไรก็บอกไปตรง ๆ เช่น เรื่องราคาน้ำมันตอนนี้ยังไม่ทราบจะเอาอย่างไร ให้ข้าพเจ้ากลับจากสหประชาชาติแล้วค่อยว่ากัน หรือ ราคาน้ำมันขอให้ติดตามการประชุม ครม.คราวหน้านะครับ ถึงผมไม่อยู่ก็ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบแล้วว่า ตัดสินใจได้เลย เอาไงก็เอากัน
ถ้าพูดครอบคลุมได้แบบนี้ ก็จะสมปรารถนาทั้งผู้พูดและผู้ฟัง ผู้พูดได้พูด “เรื่องที่อยากพูด” และคนฟังก็ได้ฟัง “เรื่องที่อยากรู้” แต่ถ้าพูดแบบที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีพูดเป็นตัวอย่างไว้ก็ย่อมนำความไม่พอใจมาสู่ผู้ฟังอย่างแน่นอน
ดังนั้น ผู้ที่เป็นนักบริหารที่มีเรื่องหลายเรื่องที่อยากบอกอยากเล่าให้พนักงานหรือผู้ร่วมงานฟัง เวลาจะเรียกประชุมเพื่อจะได้พูด “สิ่งที่อยากบอก”นั้น ลองคิดดูบ้างนะครับว่า สิ่งที่พนักงานเขาสนใจอยากฟังคือเรื่องอะไร ส่วนที่จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาสนใจเรื่องอะไรกันก็ทำได้ตั้งหลายทาง
จะตั้งตู้รับฟังความคิดเห็นของพนักงานก็ย่อมได้ จะใช้วิธทางวิทยาศาสตร์ทำแบบสำรวจ ทำโพลฏ็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด จะใช้ให้แต่ละกลุ่มแต่ละแผนกระดมความคิดสร้างคำถามมาก็ได้ หรือถ้ามีสหภาพ ฯ หรือชมรมพนักงาน อะไรอยู่ก็ถือโอกาสใช้ประโยชน์เสียเลย
ขอยืนยันว่าเพื่อทำให้พนักงานเห็นความสำคัญหรือให้ความสนใจต่อการประชุมของนักบริหาร หัวข้อในการประชุมอย่ามีแต่เรื่องที่นักบริหารอยากบอกเท่านั้น ต้องมีเรื่องที่พนักงานอยากรู้ปนอบู่ด้วย จะสัดส่วนน้อยกว่าประเภทแรกก็ไม่เป็นไร และควรเป็นเรื่องที่เขาอยากรู้จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องเราคิดแทนเขาว่าเขาอยากรู้