เกาะติด!เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ฮิลลารี VS ทรัมป์


(8 พ.ย.59) วันที่ทั่วโลกต่างจับตามองประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะเราจะได้รู้กันแล้วว่าระหว่าง ฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต และโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ใครกันที่จะได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ

***นโยบายของ “ฮิลลารี”

  1. กฎหมายภาษีใหม่ เก็บภาษีคนรวย ได้ใจชนชั้นกลาง-ล่าง
  • ขึ้นภาษีคนรวย โดยมีการขึ้นภาษีจากหลายช่องทางธุรกิจสำหรับผู้ที่มีรายได้รวมต่อปีมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ ต้องเสียภาษีไม่ต่ำกว่า 30% โดยมีการแยกแต่ละประเภทอีก 4 % สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า  5 ล้านดอลลาร์
  • ปิดช่องทางการเลี่ยงภาษี เพื่อแก้ปัญหาที่บริษัทต่างๆพยายามหลบเลี่ยงการจ่ายภาษี เหมือนเป็นการบังคับให้จ่ายภาษีให้ถูกต้องตากกฏหมายและที่เคยเลี่ยงไปก็ต้องย้อนกลับมาจ่ายคืนอีกด้วย จากการคาดการณ์ของ Moody’s Analytics หากเป็นไปตามทฤษฏีนี้จะมีเงินจากค่าภาษีเพิ่มขึ้นกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในสิบปี ซึ่งจะกระทบเฉพาะกลุ่มคนรวยเพียง 5% เท่านั้น
  1. ใช้เงินจับจ่ายเพื่อส่วนรวมมุ่งสู่การพัฒนาเศรษฐกิจแห่งอนาคต

– พัฒนาทักษะเด็กปฐมวัย นำเงินที่ได้จากภาษีกว่า 7 แสนล้านดอลลาร์  มุ่งไปพัฒนาด้านการศึกษาของเด็กก่อนวัยเรียนไปจนถึงระดับอนุบาล โดยเฉพาะเด็กอายุ4ขวบต้องได้รับโปรแกรมก่อนเข้าเรียนแบบครอบจักรวาล (Universal Pre-school) หลังจากนั้นจึงค่อยนำเงินไปกระจายสู่ระดับอุดมศึกษา

– ฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นำเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์มาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านการคมนาคมที่เริ่มเสื่อมคุณภาพแล้ว

ลดต้นทุนการทำงานและเพิ่มจำนวนแรงงาน นำเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์มาพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงาน เช่นการลาคลอดบุตร ซึ่งยังสามารถรับเงินได้ 2-3ส่วนของเงินเดือน

  1. เปิดรับแรงงานจากต่างชาติ

มุ่งเน้นไปที่ผู้ที่จบสาขาคณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยีและวิศวะ ซึ่งมาพร้อมกับสิทธิ์ประโยชน์มากมาย อาทิ สามารถเข้าไปทำงานได้นานขึ้นและสามารถขอบัตรกรีนการ์ด(บัตรประจำตัวผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรอย่างถูกกฎหมายในสหรัฐฯ) ที่เห็นจะพิเศษที่สุดก็คือระบบเก็บสะสมแต้มเพื่อเปลี่ยนเป็นคนสัญชาติอเมริกานอกจากนั้นยังมีการนโยบายที่จะรับแรงงานไร้ทักษะ ซึ่งก็ถูกต่อต้านและวิจารณ์อย่างหนัก

***นโยบายของ “ทรัมป์”

  1. ปฏิรูปนโยบายภาษีเอาใจคนรวย

สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายของฮิลารี เพราะเขาต้องการลดภาษีเงินได้ให้คนทุกชนชั้นและลดภาษีนิติบุคคลจาก 35% ให้เหลือ 15%  โดย Tax Foundation วิเคราะห์ว่าคนยากจนที่มีกว่า 80% จะมีอัตราเพิ่มขึ้น 0.8 – 1.9% ปัญหาที่ตามมาก็คือเมื่อไม่มีเงินไปสนับสนุนโครงการต่างๆ และในระยะยาวเศรษฐกิจก็อาจประสบปัญหาต่างๆตามมา

  1. ปฏิเสธการรับแรงงานต่างชาติ

สวนทางกันอีกแล้ว!เพราะ ทรัมป์ ออกนโยบายเด็ดขาดที่จะปิดกั้นและลดจำนวนแรงงานจากต่างชาติ พร้อมส่งกลับทันทีเมื่อจับได้ ทำให้กระทบหนักต่อบริษัทจัดหางาน สถาบันวิจัยนโยบาย American Action Forum คาดการณ์ว่า นโยบายนี้ต้องใช้เงินทุนสูงเพราะมีแรงงานต่างชาตินอกระบบกว่า10ล้านคนทั่วประเทศ ใน20ปีอาจต้องเสียแรงงานไปกว่า11ล้านคน หนักที่สุดคือ GDP ของประเทศอาจลงถึง 5.7%

  1. เปิดสงครามการค้ากับจีนและเม็กซิกัน

เริ่มตั้งแต่แผนเจรจาใหม่กับนาฟตา (NAFTA : North American Free Trade Agreement) เพื่อขึ้นภาษี 35% กับเม็กซิกันและกดดันจีนจากการทำเงินหยวนอ่อนค่า เพิ่มกำลังทหารในน่านน้ำทะเลจีนใต้ไปจนถึงเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีน 45%

จากผลโพลหลายสำนักชี้ให้เห็นว่า ฮิลลารี มีโอกาสชนะ ทรัมป์ แบบฉิวเฉียด ซึ่งเธอมีโอกาสชนะมากกว่า 90%

ABC News and Washington : ฮิลลารี 48% ทรัมป์ 43%

CNN : ฮิลลารี 47% ทรัมป์ 42%

NBC and The Wall Street Journal : ฮิลลารี 44% ทรัมป์ 40%

Fox News : ฮิลลารี 45% ทรัมป์ 43 %

Reuters/Ipsos คาด ฮิลลารีมีโอกาสชนะทรัมป์ถึง 90%

Los Angeles Times คาดว่า ฮิลลารีจะชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งหรือ อิเล็กทรอรัลคอลเลจ รวม 352 เสียงต่อ 186 เสียงของทรัมป์

ถึงแม้ว่าผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เป็นผู้ใช้สิทธิเลือกประธานาธิบดี หรือ ป๊อปปูลาร์โหวต แต่คะแนนเสียงที่เป็นตัวตัดสินผลแพ้ชนะนั้นมาจากคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง หรือ อิเล็คทอรัล คอลเลจ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 538 เสียง