กังวลเศรษฐกิจในประเทศฉุดเชื่อมั่นเอสเอ็มอีไตรมาส 3


นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี หัวหน้านักวิเคราะห์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการขนาดย่อม-ทีเอ็มบี (TMB SME Sentiment Index) ไตรมาส 3/2559 (กรกฎาคม-กันยายน 2559) จากความเห็นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 1,356 กิจการทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอยู่ที่ 41.9 สูงขึ้นเล็กน้อยกว่าระดับ 39.4 ในไตรมาสก่อนหน้าและอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเมื่อไตรมาส 1 ที่ผ่านมา โดยเอสเอ็มอียังห่วงภาวะเศรษฐกิจในประเทศ
“มาตรการกระตุ้นการเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐ รวมทั้งการเติบโตของภาคท่องเที่ยวยังคงเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจเกือบทุกภูมิภาค ภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นจากการกู้ยืมและขาดรายได้ในช่วงก่อนหน้า เป็นเหตุให้การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคเป็นไปอย่างระมัดระวัง อีกทั้งราคาพืชเศรษฐกิจเช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย ยังอยู่ในระดับต่ำ รั้งให้กำลังซื้อในต่างจังหวัดยังฟื้นตัวในวงจำกัด” นายเบญจรงค์กล่าว
ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายภูมิภาคปรับดีขึ้น ในพื้นที่ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง จากไตรมาสก่อน ด้วยปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของภาคท่องเที่ยว การเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐ การช่วยเหลือเกษตรกรของรัฐผ่านโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิต รวมถึงฝนที่ตกตามฤดูกาลทำให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกได้ตามรอบการผลิตปกติ ก่อให้เกิดการใช้จ่ายและเงินหมุนเวียนในพื้นที่มากกว่าในช่วงไตรมาส 2 สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคตะวันออกและภาคใต้ ดัชนีความเชื่อมั่นมีทิศทางทรงตัวจากไตรมาสก่อน
ปัจจัยด้านภาวะเศรษฐกิจในประเทศและกำลังซื้อที่ฟื้นตัวได้ช้าติดต่อกันเป็นเวลานาน ยังเป็นปัจจัยหลักกดดันสร้างความกังวลแก่ผู้ประกอบการกว่าร้อยละ 60 รองลงมาคือปัจจัยกังวลด้านเงินทุนหมุนเวียนโดยเฉพาะปัญหาขาดสภาพคล่องร้อยละ 15 และภัยธรรมชาติจากน้ำท่วมร้อยละ 6 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ด้านความเชื่อมั่นในอนาคต ยังอยู่ในระดับที่ดี โดยผู้ประกอบการธุรกิจ SME มองดัชนีความเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 54.1 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่า 50 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าว่าแนวโน้มการดำเนินธุรกิจน่าจะดีขึ้น
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจฯ มองโค้งสุดท้ายปี 2559 ยาวต่อไปถึงปี 2560 ยังจะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ โดยเศรษฐกิจปี 2560 จะสามารถขยายตัวได้ที่ร้อยละ 3.5 จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและการขยายตัวของภาคท่องเที่ยวในปีหน้า รวมทั้งการขับเคลื่อนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัลตามนโยบายของภาครัฐ ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีกและบริการ มีความได้เปรียบในการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้ เช่น สื่อ Social และ E-Payment เพื่อช่วยสร้างรายได้และลดต้นทุนในการดำเนินงานได้รวดเร็วกว่ากลุ่มธุรกิจผลิต เนื่องจากกระบวนการทำงานไม่ซับซ้อนจึงใช้ระยะเวลาและใช้เม็ดเงินลงทุนไม่มากในการปรับตัว