Smart SME

How-To

เทรนด์ Content Marketing ปี 2017 (ผู้ประกอบการควรรู้)


เพื่อเข้าถึงลูกค้าออนไลน์มากที่สุด “ดิจิทัลคอนเทนท์มาร์เก็ตติ้ง” ยังคงเป็นกลยุทธ์การตลาดสำคัญที่ผู้ประกอบการควรเลือกใช้ ซึ่งแนวโน้มในอนาคตนักการตลาดชั้นนำจะมุ่งไปที่การทำวีดีโอ เน้นกลุ่มลูกค้าที่เสพสื่อทางมือถือ และมองหาช่องทางการซื้อสื่อเพื่อโปรโมทโฆษณามากกว่าที่จะจำกัดอยู่แค่หน้าบล็อกของตัวเองเพียงเท่านั้น นั่นก็เพื่อเพิ่มโอกาสและความได้เปรียบทางการค้าจากปริมาณคู่แข่งขันที่มีมากขึ้น มาทำความเข้าใจกับ 5 เทรนด์ Content Marketing ปี 2017 ที่ผู้ประกอบการควรรู้มีอะไรมาแรงบ้าง

  1. Video จะครองพื้นที่ออนไลน์

ลองจินตนาการว่านี่คือเวลาสองทุ่มวันเสาร์ใน อ.บางบัวทอง สาวิตรีวัย 50 มาจากอุดรธานีเพื่อเยี่ยมลูกสาว,ลูกเขยและหลานชายตัวเล็ก หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ต่างพากันมานั่นในห้องรับแขกที่มีจอทีวีวางอยู่ตรงหน้า

สาวิตรีก็เหมือนคน Gen เดียวกันกับเธอ ที่คาดหวังว่าจะได้ดูละครในช่วงหลังข่าวค่ำ  แต่แทนที่ลูกสาวของเธอจะเปิดช่องทีวีปกติหรือการถ่ายทอดสดบนเว็บ ลูกสาวเธอกลับต่อสมาร์ททีวีและอินเตอร์เน็ตเข้าด้วยกัน แล้วแนะนำให้เธอดูหนังและละครจากชาแนลต่างๆทางออนไลน์

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันสะท้อนถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม millennials aged (อายุ 18 – 34) ที่ชื่นชอบการดูวีดีโอในโซเชียลมีเดียมากกว่าจะดูช่องทีวีปกติ

ปี 2017 content marketers จะต้องเข้าใจกระบวนการผลิตและเนื้อหาสาระที่ได้รับความนิยมในวีดีโอ ซึ่งคาดว่าองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งจะแห่แหนมาจับธุรกิจนี้กันมากขึ้น

  1. ทำทุกรูปแบบ Content ให้รองรับกับมือถือ

จากรายงานต่างๆระบุว่าในปี2017 จะมีคนราว 65% – 75% ที่ใช้อินเตอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนและหนึ่งคนในหนึ่งวันจะใช้อินเตอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตมากกว่า 3 ชั่วโมง

ขณะที่ผู้ซื้อสินค้าและบริการทางออนไลนน์บนเครื่องพีซีและโน้ตบุ๊คมีอัตราเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ผู้ซื้อสินค้าทางออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ content marketers จะออกแบบและเชื่อมโยงคอนเทนต์ต่างๆให้ง่ายต่อการใช้งานบนมือถือ “mobile-friendly content formats” รวมไปถึงการมีนัยยะสำคัญของการตื่นตัวที่จะสร้าง mobile pages หรือ mobile apps จากหลายองค์กร

  1. ลงทุนกับการผลิต Content มากขึ้น

ในแง่ของการตลาดออนไลน์ การผลิต content marketing ต้องสร้างมาเพื่อช่วยให้ผู้ที่ทำหน้าที่ขายบนออนไลน์ขายง่ายและมั่นใจในการขาย เพราะถ้ามันตอบโจทย์ก็จะสามารถบอกผู้ประกอบการได้ว่าควรวางทิศทางการลงทุนกับคอนเทนต์และโปรโมชั่นต่อไปอย่างไรในอนาคต

จากผลสำรวจของ MarketingProfs และ Content Marketing Institute พบว่า ความเชื่อจากการประสบความสำเร็จของนักการตลาด B2BC กว่า 63% มาจากการจัดระบบละวางกลยุทธ์ของ content marketing

คาดว่าความเชื่อนี้จะส่งต่อไปยังนักการตลาดมากมายบนโลก โดยเฉพาะ ecommerce marketers ที่เริ่มเคลื่อนย้ายตัวเองมาโฟกัสที่การลงทุนกับ content marketing มากขึ้น ประมาณการใช้งบการตลาดปี 2017 ของหลายธุรกิจชี้ว่าพวกเขายอมทุ่มงบกว่า 80% ในการลงทุนสร้างสรรค์ content marketing ส่วนอีก 20% นำไปใช้กับการโปรโมทหรือซื้อโฆษณาเพื่อสนับสนุนคอนเทนต์นั้นๆ

อนาคตเราจะได้เห็นความหลากหลายของกลยุทธ์ content marketing ถึงขีดสุด ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจถ้าในปี 2017 คุณจะได้เห็นโฆษณาต่างๆมากมาย กว่าคุณจะได้เข้าไปดูในสิ่งที่ต้องการ

  1. ออกแบบ Episodes ให้เรื่องราวชวนติดตาม

ในปี 2017 จะมีนักการตลาดมากมายที่ชื่นชมความสำเร็จของ YouTube แล้วอยากวาดฝันให้งานการตลาดของตนเป็นเช่นนั้นด้วยการสร้างเรื่องราวเนื้อหาเป็นตอนๆให้ชวนติดตาม “episode-based content”

Ted Karczewsk ผู้จัดการด้าน content marketing @Skyword กล่าวว่า episodes มีข้อดีอย่างน้อยๆอยู่ 2 ข้อ

ข้อแรก มันนำไปสู่เรื่องราวการพัฒนาที่ไม่มีวันสิ้นสุด เรื่องราวในแต่ละตอนจะขับเคลื่อนทีมผู้ทำงาน content marketing เพื่อการพัฒนาไอเดียสู่การตกผลึกทางความคิด เพื่อแผนการจัดระเบียบคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น

ข้อสอง ผู้บริโภคยุคนี้คุ้นเคยกับการรับข้อมูลมากมาย แต่มันก็ไม่ได้เข้าไปอยู่ในความทรงจำของพวกเขาแม้แต่น้อย ดังนั้นการทำ episode-based content จึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้บริโภคค่อยๆซึมซับในแบรนด์และสินค้า มากกว่านั้นคุณยังสามารถนำมาวิเคราะห์ เปรียบเทียบ ได้ว่าแต่ละตอนในเรื่องราวนั้น มีตอนไหนที่คนดูสูงสุดในช่วงแต่ละเดือน เพื่อออกแบบ content marketing ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายต่อไป

  1. Artificial Intelligence (AI) ระบบปัญญาประดิษฐ์

ในปี 2016 นักการตลาดเริ่มทดลองสร้างคอนเทนต์ที่อิงจากกลไกหรือเครื่องมือการสร้างคอนเท้นต์ “machine-generated content” โดยนักปรับปรุงเว็บทดลองทำตัวอย่างการเขียนบรรยายสินค้าอัตโนมัติเพื่อให้อิงตามหลักของข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปและยังเป็นหัวข้อสำคัญของการอภิปรายตามอีเวนท์อุตสาหกรรมมากมาย

ปี 2017 machine-generated content จะยังพัฒนาต่อไปเรื่อยภายใต้หัวข้อ Artificial Intelligence ซึ่งนำเอาหลายรูปแบบมาเชื่อมโยงถึง ecommerce content marketing เช่น การแปลอัตโนมัติ การคาดเดาสิ่งที่จะเขียน หรือแม้แต่การนำเอาประสบการณ์ด้านการเขียนคอนเทนต์มารวมไว้ให้เป็นระบบที่ตอบสนองอัตโนมัติ ตามที่โปรแกรมตั้งไว้

Related Posts

ChatGPT เพิ่มฟีเจอร์ตั้งเวลาแจ้งเตือน สั่งงานได้ตามต้องการ

OpenAI ได้ประกาศการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Tasks สำหรับ ChatGPT ซึ่งเป็นการเพิ่มความสามารถให้ผู้ใช้งานสามารถตั้งเวลาแจ้งเตือนหรือสั่งให้ ChatGPT ทำสิ่งต่าง ๆ ในเวลาที่กำหนดได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น การตั้งเวลาแจ้งเตือนที่หลากหลาย ด้วยฟีเจอร์ใหม่นี้ ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าให้ ChatGPT ทำการแจ้งเตือนหรือดำเนินการตามคำสั่งที่กำหนดได้ทั้งแบบครั้งเดียวหรือทำเป็นกิจวัตรประจำวัน โดยยังสามารถเพิ่มความซับซ้อนในการตั้งค่าได้ เช่น แจ้งเตือนประจำวัน, รายสัปดาห์ หรือในช่วงเวลาที่กำหนด วิธีใช้งาน การตั้งค่าฟีเจอร์ Tasks ง่ายมาก เพียงเลือกโมเดล GPT-4 with scheduled tasks บนแพลตฟอร์มของ ChatGPT แล้วพิมพ์คำสั่งที่ต้องการ เช่น: • ช่วยสรุปข่าวสภาพอากาศทุกวันตอน 6 โมงเช้า • ส่งแผนการออกกำลังกาย 15 นาทีทุกวัน • แจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาให้พักทานอาหารกลางวัน ฟีเจอร์นี้รองรับการทำงานทั้งในเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือของ ChatGPT ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานมีการจัดการเวลาที่ดีขึ้นในแต่ละวัน ความสามารถเพิ่มเติม นอกจากการแจ้งเตือนตามเวลาที่ตั้งไว้แล้ว ฟีเจอร์ Tasks ยังสามารถส่งคำแนะนำพร้อมกับการแจ้งเตือนนั้น ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อ […]

การตลาดเออ-ออ

การตลาดเออ-ออ เมื่อพฤติกรรมคนเปลี่ยนใจเร็ว ยอมจ่ายไม่ยอมตกกระแส

ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยปัจจัยสภาพแวดล้อม และบริบทรอบตัว เช่นเดียวกับพฤติกรรมคนไทยที่ใจเร็วทำให้การตลาดเออ-ออ กลายเป็นเทรนด์ของผู้บริโภคยุคที่มักจะซื้อสินค้าตามกระแส ผลวิจัย “ER-OR MARKETING: การตลาดเออ-ออ พฤติกรรมตามกระแสของคนไทยในปัจจุบัน” ของวิทยาลัยจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ชี้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการของคนไทยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยมีสาเหตุหลักๆ จากอิทธิพลของสื่อโซเชียลมีเดียที่ทำให้การเผยแพร่และแชร์ข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็วและเรียลไทม์ส่งผลให้เกิด Customer Journey ที่สั้นและเร็วกว่าเดิม     เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้า หรือบริการเพียงเพราะเห็นคนรอบข้าง ผู้มีอิทธิพลทางความคิด (Influencers) หรือคนส่วนใหญ่นิยมใช้สินค้าและบริการเหล่านั้น เพราะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะเลือกสิ่งที่ถูกต้องและหากไม่ซื้อตามอาจพลาดสิ่งดีๆ ไป จนทำเกิดกระแส “คล้อยตาม” หรือ “ซื้อตามกัน” อย่างรวดเร็ว แบบไม่ต้องผ่านกระบวนการค้นหาหรือศึกษาข้อมูลนานๆ เหมือนแต่ก่อน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ได้เปลี่ยนโฉมหน้าการตลาดในประเทศไทยไปอย่างสิ้นเชิง สำหรับสินค้าที่ได้รับความนิยมจากการตลาดดังกล่าว จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มที่ 1 อาหารและเครื่องดื่ม ถูกเออ-ออ มากที่สุดถึง 60% % โดยผู้หญิง Gen Z มีแนวโน้มเออ-ออ กินตามกระแสมากที่สุด ส่วนประเภทอาหารที่นิยมกินตามกันมักเป็นอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์ คาเฟ่ และร้านอาหารนานาชาติ […]

ปิดการขาย

กลยุทธ์ปิดการขาย พูดอย่างไรให้คนตัดสินใจซื้อสินค้า แบบไม่ลังเล

แม้สินค้าของคุณจะดี มีคุณภาพแค่ หากสื่อสารไม่มีประสิทธิภาพก็เท่ากับปิดโอกาสที่สินค้านั้นจะขายได้ แน่นอนว่าการปิดการขายเป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับการทำธุรกิจ เพราะเป็นสิ่งยืนยันว่าธุรกรรมได้เสร็จสิ้นแล้วเป็นความยินยอมทั้งผู้ขาย-ผู้ซื้อ ในโลกธุรกิจมีวิธีการมากมายในการปิดการขายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแต่ละวิธีการนั้นก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้ซื้อกับลูกค้าว่าเป็นอย่างไร ว่าจะเลือกวิธีไหนเหมาะสมที่สุด     ดังนั้น การศึกษาเรียนรู้วิธีการอย่างถูกต้องสามารถช่วยให้ผู้ขายเพิ่มความสัมพันธ์กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสที่จะขายสินค้า และบริการที่ทำอยู่ได้ โดยต้องเลือกเวลาที่เหมาะสมในการพูดคุยเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย ผ่านกลยุทธ์ดังต่อไปนี้ 1.เสนอทางเลือก หากลูกค้าพอใจกับข้อเสนอที่พูดคุยกันอยู่แล้ว อาจเสนอทางเลือกเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ แต่ต้องมั่นใจแล้วว่าลูกค้าตอบรับสินค้าหรือบริการแล้วถึงจะใช้กลยุทธ์นี้ได้ เพราะการมีตัวเลือกจะทำให้เกิดการเปรียบเทียบทำให้ลูกค้าตัดสินใจที่จะตอบตกลงว่าจะเลือกสินค้าชิ้นไหน ตัวอย่าง: หากเป็นสินค้าหรือบริการที่มีลักษณะเป็น “แพ็คเกจ” ให้อธิบายว่าแต่ละแพ็คเกจมีความแตกต่างกันอย่างไร หลังจากนั้นให้ถามลูกค้าว่าจะเลือกแบบไหน 2.ชี้ถึงอุปสรรค หากลูกค้าเกิดความลังเลเกี่ยวกับการขาย ลองสอบถามดูว่าอะไรเป็นอุปสรรคที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อสินค้า ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของผู้ขายแล้วว่าจะมีวิธีจัดการกับข้อจำกัดเหล่านั้นอย่างไร เพื่อโน้มน้าวใจให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ต้องทำการบ้านศึกษาดูรายละเอียดสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ให้ดี ตัวอย่าง: พูดคุยกับผู้ขายจากข้อมูลคุยกัน มีเหตุผลใดที่ทำให้ยังไม่ตัดสินใจซื้อสินค้า หากสามารถแก้ไขเหตุผลนั้นได้ จะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่เพื่อกลับมาพิจารณาสินค้าของเราอีกครั้ง 3.สอบถามขั้นตอนต่อไป วิธีที่แยบยลอันชาญฉลาดเพื่อลูกค้าซื้อสินค้า คือการขอให้ลูกค้าอธิบายขั้นตอนต่าง ๆ เกี่ยวกับวิธีการตัดสินใจซื้อจนได้รายละเอียดที่ชัดเจน และนำข้อมูลเหล่านี้กลับมาพัฒนาสินค้าหรือบริการให้มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการที่อยากจะได้ ตัวอย่าง: ลองยกสินค้าหนึ่งชิ้นขึ้นมา แล้วถามว่าหากคุณตัดสินใจซื้อสินค้าประเภท จะมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ใช้เวลานานเท่าไหร่ในการตอบตกลงซื้อ 4.ทำข้อตกลง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผู้ซื้อไม่ได้ซับซ้อนอะไร เพียงแค่สินค้าและบริการของคุณมีประโยชน์กับพวกเขาอย่างไร โดยผู้ขายมีหน้าที่กระตุ้นให้พวกเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่กำลังเสนออยู่ อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้อาจเป็นประโยชน์กับลูกค้าที่แสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณอยู่แล้ว […]