หญิงหม้ายใจแกร่ง! หอบเงินก้อนสุดท้ายเปิด ร้านบุฟเฟต์ 2ปี ขยายทั่ว กทม.


แป๊ก ยงฤดี นุชจังหรีด นักล่าฝันใจแกร่งจากอุดรธานี ซึ่งเหมือนกับคนบ้านนอกทั่วๆไปที่เดินทางมากรุงเทพ เพราะต้องการเปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น แต่เธอไม่เคยปล่อยให้ความฝันเป็นแค่จินตนาการลมๆ แล้งๆ หลังจบ ม.6 เธอตัดสินใจเข้ากรุง เพราะคิดว่าที่นี่จะเปลี่ยนชีวิตเธอให้ดีขึ้นได้ เธอเริ่มงานจากพนักงานรับสายโทรศัพท์ ทำงานตั้งแต่หกโมงเช้าถึงหกโมงเย็น ค่าแรงวันละ 50 บาท (ปี 2535 ตอนนั้นอายุประมาณ 18)

ช่วงแรกที่เข้ากรุงเทพถือว่าลำบากมาก เงินจะกินข้าวไปแต่ละวันก็แทบไม่พอต้องประหยัดทุกอย่างเท่าที่ทำได้ หลังจากทำงานไป 4-5 เดือน เธอมองไม่เห็นความก้าวหน้าในงานที่ทำอยู่ จึงกลับมานั่งทบทวนว่าอะไรที่จะส่งต่อชีวิตเธอให้ดีขึ้นได้ จึงตัดสินใจเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ขณะเรียนเธอได้เจอกับคู่ชีวิตซึ่งเป็นติวเตอร์ จึงเริ่มทำธุรกิจติวหนังสือ จากธุรกิจเล็กๆ ที่คนไม่รู้จัก แต่ด้วยความพยายามเธอตั้งใจทำมันให้ดีที่สุดจนเกิดเป็นโรงเรียนติววิชาคณิตศาสตร์อันดับ 2 ในขณะนั้น

หลังจากทำโรงเรียนติวหนังสือมา 12 ปี ด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจและปัญหาชีวิตทางครอบครัว ทำให้ต้องเลิกลากับแฟนไปแล้วตัดสินใจนำลูกทั้งสองคนออกมาด้วย “ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่าในตอนนั้นเราไม่มีแม้ที่ซุกหัวนอน ก็กลัวลูกจะลำบากแต่เพราะเรารักเขามากอยากให้เขาอยู่กับเรา คิดในใจว่าแม่จะสู้ให้ถึงที่สุดเพื่อลูก ระหว่างนั้นจึงตัดสินใจโทรไปขอยืมเงินจากพี่สาวมาก้อนหนึ่ง พอดีกับไปเห็นที่อยู่แปลงซึ่งคิดว่าน่าจะเปิดร้านอาหาร เพราะตัวเองก็ชอบทำอาหารอยู่ด้วย มันเป็นจุดหนึ่งที่เราต้องทำทุกอย่างเหมือนหลังชนฝาและ เงินก้อนนี้ถ้าเราไม่สำเร็จตัวเราเองและลูกก็จะลำบาก” เธอจึงเริ่มต้นทำจากร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างเล็กๆ เพียง 60 ที่นั่ง ชื่อร้านรสเด็ดกุ้งกระทะ+ทะเลเผา ที่ปากซอยรามคำแหง 187 หลังจากสาขาแรกเปิดมาได้ 2 ปี เธอก็เปิดสาขา 2 และ 3 ตามมาเรื่อยๆ จนปัจจุบัน มี 6 สาขา รวมร้านบ้านไม้ขาวและร้านชาบูบ้านไร่ ทั้งหมดก็เป็น 8 สาขาใน กทม.และปริมณฑล

ความยากของร้านบุฟเฟต์คืออะไร?

เราต้องรักษาลูกน้องให้ได้เพราะต้องใช้พนักงานเยอะมาก ทำยังไงก็ได้ให้เขารักเราศรัทธาในตัวเรา เราไม่มีพนักงานเราก็เหนื่อยก็บริหารยาก การจ้างพนักงานหนึ่งคนต้องทำได้หมดทั้งร้านทุกตำแหน่งเลย เผื่อว่าคนไหนลาจะได้ทำแทนกันได้ อีกข้อคือเนื่องจากร้านเราเป็นร้านบุฟเฟ่ต์ที่ไม่จัดกัดเวลามันทำให้เรามีต้นทุนของอาหารค่อนข้างสูง บางครั้งลูกค้าทานเหลือเยอะๆ  ก็ต้องมานั่งคิดว่าจะทำยังไงเพื่อให้เราอยู่ให้ได้ เช่นต้องเพิ่มยอดขายส่วนไหน ต้องเพิ่มปริมาณคนที่เข้ามาทานยังไงเช่นเราต้องบอกเขาให้ได้ว่ามากินแล้วมันคุ้มค่ามากเลยนะ ที่สำคัญคือการที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการต่อวันเป็นจำนวนมาก บางคนอาจทานเยอะบางคนทานน้อยนี่ก็คือส่วนที่เราจะได้กำไรเหมือนกัน

ปัจจุบันมีพนักงานราวประมาณ 210 คน เวลาเข้าไปที่ร้านอันดับแรกก็จะไปตรวจสอบเรื่องของความเรียบร้อยภายในร้าน เราจะบอกกับลูกน้องเสมอว่าให้เขาทำงานให้ดีเขาขาดเหลืออะไรถ้าทำได้ก็จะทำ อยู่กันเหมือนแม่กับลูก เราใส่ใจทั้งเรื่องที่พักอาศัย ต้องอยู่แล้วสบายใจไม่เป็นทุกข์ อาหารการกินก็เช่นกัน เมนูอาหารของพนักงานก็จะจัดให้ตามแบบที่เขาชอบหรืออยากทาน ที่ขาดไม่ได้คือเราต้องให้ความสำคัญกับเขาดูแลเขาด้วยใจ ทุกครั้งก็จะมีการพูดคุยถึงเรื่องของสารทุกข์สุขดิบด้วย

ในปีนี้เราตั้งใจจะทำเดลิเวอรี่ให้มีระบบ คิดว่าการทานบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างของคนไทย คือการสังสรรค์ได้ทั้งที่ร้านและก็ที่บ้าน อยากให้ร้านเราเป็นส่วนหนึ่งในการทานอาหารแต่มื้อของลูกค้า