JMART รุกฟินเทค จัดตั้ง บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจด้านพัฒนาซอฟต์แวร์ และลงทุนในกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หวังเสริมทัพธุรกิจค้าปลีกในอนาคต ด้าน “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” แม่ทัพใหญ่ มองเกมขาด ฟินเทคจะเป็นอนาคตการเงินในยุคดิจิตอล ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ เชื่อธุรกิจในกลุ่มเจมาร์ท จะดึงโอกาสในการต่อยอดธุรกิจได้อีกอย่างมหาศาล ในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกที่มีช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมเติบโตแข็งแกร่งในระยะยาว ด้านโบรกฯ ชี้เจมาร์ท เป็นหุ้นที่มีความโดดเด่น แนะนำซื้อ ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมเป็น 16.2 บาท
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2559 มีมติจัดตั้ง บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ รับจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์ และเพื่อประกอบธุรกิจลงทุนในกิจการอื่นๆ เช่นธุรกิจ Start-up ด้วยทุนจดทะเบียนจำนวนทั้งสิ้น 100 ล้านบาท โดยชำระทุนครั้งแรกแล้ว 25 ล้านบาท (มูลค่าต่อหุ้น 10 บาทต่อหุ้น) โดยมีบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในสัดส่วนร้อยละ 80 ส่วนที่เหลือเป็นของนายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ถือหุ้นอีกร้อยละ 20
อย่างไรก็ตาม การลงทุนครั้งนี้ บริษัทฯ มองว่าจะได้รับประโยชน์อย่างมาก เนื่องจาก ฟินเทค (Fintech) เป็นเทรนด์แห่งอนาคตของการเงินไทย ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทฯ จึงรุกเข้าไปขยายธุรกิจทางด้านซอฟต์แวร์ แอพพลิเคชั่น ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจฟินเทค รวมทั้ง เทคโนโยโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการเงินในยุคดิจิตอล เพื่อรองรับธุรกิจค้าปลีก และเพื่อขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัท โดยการหาโอกาสในการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพ รองรับการเติบโตของกลุ่มบริษัท ในอนาคต
ทั้งนี้ ด้วยความพร้อมของกลุ่มบริษัทเจมาร์ท ที่มีฐานข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก โดยเจมาร์ทมีลูกค้าซื้อมือถือกว่า 1.3 ล้านเครื่องต่อปี ขณะที่บริษัทในเครือเสริมแกร่ง ทั้ง บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT มีฐานข้อมูลลูกหนี้กว่า 3 ล้านราย และ เจ ฟินเทค ปัจจุบันมีลูกค้าสินเชื่อกว่า 1 แสนราย นับเป็นกลุ่มบริษัทที่มีข้อมูล Big Data ในการต่อยอดธุรกิจอย่างแข็งแกร่งต่อไป
“ในอนาคตเทคโนโลยีทางด้านการเงิน หรือฟินเทค จะเข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก ซึ่งปัจจุบันข้อมูลลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจต่อไปในอนาคต ดังนั้น เรามองว่ากลุ่ม
เจมาร์ทมีความพร้อมอย่างมาก เนื่องจากเรามีหน้าร้านขายสินค้ากว่า 200 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งยังไม่รวมซิงเกอร์ที่มี Sale Agent กว่า 4,000 ราย กระจายทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีบริษัทปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การบริหารของ เจ ฟินเทค มีบริษัทติดตามหนี้ และบริหารหนี้ด้อยคุณภาพของ เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค รวมทั้ง บริษัทบริหารพื้นที่เช่ารายใหญ่ของ เจเอเอส แอสเซ็ท ที่มีรายได้ระยะยาวมั่นคง แข็งแกร่ง ดังนั้น ผมเห็นว่า เจมาร์ทเป็นกลุ่มค้าปลีกที่ทำงานได้อย่างครบวงจร และมีศักยภาพจะเติบโตอีกมากในอนาคต การเข้ามาในธุรกิจฟินเทค จะทำให้เราได้เปรียบคู่แข่งอื่นๆ อย่างไม่เห็นฝุ่น” นายอดิศักดิ์ กล่าว
ด้านบทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า JMART มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้น ภายหลัง JMT ลดสัดส่วนธุรกิจให้สินเชื่อ ในบริษัทย่อย เจ ฟินเทค เหลือราว 9.1% จากเดิมถือ 100% และให้ JMART ถือหุ้นใหญ่แทนในสัดส่วน 90.1% จึงปรับเพิ่มกำไรปี 2559 – 2560 ของ JMT และหนุนภาพกำไรของ JMART ด้วย (JMART ถือหุ้น 55.9%) โดยฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรงวดไตรมาส 4/2559 จะเติบโตอย่างมีนัยฯ จากผลบวกธุรกิจ JMT ที่แกร่งกว่าคาดดังกล่าว และยังได้แรงหนุนจากธุรกิจหลักขายมือถือจะได้ผลบวกจากนโยบายช้อปช่วยชาติ นอกจากนี้ จะมาจากธุรกิจให้สินเชื่อ (เจ ฟินเทค) ที่จะพลิกจากขาดทุนมาคุ้มทุน จากการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการตั้งสำรองหนี้ที่สูงกว่าปกติในช่วงแรกที่จะทยอยลดลงสู่ปกติ
ดังนั้น จึงมองว่า JMART ถือเป็นหุ้นที่มีจุดเด่น จากประโยชน์ระยะสั้นที่ได้รับโดยตรงจากนโยบายช้อปช่วยชาติ ประกอบกับ ผลบวกของการปรับเพิ่ม Fair Value ตาม JMT ซึ่งหนุนมูลค่าพื้นฐานใหม่ของ JMART ภายใต้วิธี Sum of the part เพิ่มขึ้นเป็น 16.2 บาท ยังมี Upside อีกราว 14.9% จึงยังให้ ซื้อ