สาระสําคัญการปรับแก้ พ.ร.บ.คอมฯใหม่(โดยละเอียด)


ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์(ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. หรือ พ.ร.บ.คอมฯ ฉบับใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ มีปรับแก้ไขร่างกฎหมายทั้งสิ้น 21 มาตรา ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้

  1. เหตุผลที่ต้องปรับปรุงร่างกฎหมายฉบับนี้

ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีทั้งสิ้น 21 มาตรา ตราขึ้นเพื่อแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยการ กระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ซึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อกําหนดฐานความผิดและบทลงโทษ สําหรับผู้ร้ายหรือบุคคลใดก็ตามที่เจาะทําลายหรือทําอย่างหนึ่งอย่างใดกับระบบคอมพิวเตอร์หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือใช้ระบบคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการกระทําความผิด เช่น ส่งคําสั่งเข้าไปฝังตัว แล้วส่งคําสั่งไปถล่มระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น และความร้ายแรงสุดของการกระทําในลักษณะนี้คือ การกระทําต่อองค์กรหรือหน่วยงานที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสําคัญของประเทศ เช่น ระบบของธนาคารพาณิชย์ระบบสาธารณูปโภค (นํ้า, ไฟฟ้า) ระบบพลังงาน ระบบควบคุมการบิน ทางอากาศหรือระบบของโรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งบางครั้งไม่ใช่เพียงแต่ทําให้ระบบล่มหรือใช้ไม่ได้เท่านั้น แต่อาจถึงขั้นทําให้มีคนเสียชีวิตได้หรือที่เรียกกันว่าเป็นไซเบอร์แอคแทค (Cyber Attack) อันเข้าข่ายเป็นการทําลายล้างกันทางออนไลน์หรือทางไซเบอร์ที่อาจส่งผลกระทบในระดับประเทศที่ ไม่อาจคาดคิดก็เป็นได้

นอกจากนั้น พระราชบัญญัตินี้ก็ยังได้กําหนดให้รองรับการฉ้อโกง หรือหลอกลวงกันทาง อินเทอร์เน็ต และความผิดฐานเผยแพร่เนื้อหาที่ผิดกฎหมาย หรือที่มีลักษณะอันลามก ที่ส่งผลกระทบ ก่อให้เกิดปัญหาสังคมมากมายตามมา อีกทั้งยังได้กําหนดให้มีการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่ง คาดหวังให้ได้คนเก่ง คนดีมีฝีมือทางเทคนิคมาช่วยสนับสนุนการทํางานของพนักงานตํารวจ หรือ พนักงานสอบสวนในการดําเนินคดีต่อไป

พ.ร.บ.คอมฯปี 2551 หลังจากบังคับมาตั้งแต่ปี2551 พบว่ามีปัญหาการบังคับใช้ในหลายประเด็น เช่น ไม่ว่าจะป้อนข้อมูลใดๆ หรือกระทําผิดใดๆทางอินเทอร์เน็ต ก็มักมีการพ่วงเอาพระราชบัญญัติการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14 (1) ไปดําเนินคดีหรือฟ้องคดีด้วย ทั้งๆที่มาตรานี้กําหนดให้ใช้กับการกระทําความผิดในเรื่องฉ้อโกงหรือหลอกลวงกันทางออนไลน์ แต่เพราะมาตรานี้กําหนดสาระสําคัญว่า “ผู้ใดกระทําผิดด้วยการนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายหรือประชาชนแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” จึงทำให้มีการอ้างมาตรานี้ฟ้องร้องคดีกันเต็มไปหมด ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต หรือกระทบต่อกลไกการตรวจสอบ การทํางานของภาคประชาสังคมในบางครั้ง จึงได้มีการแก้ไขกฎหมายให้สามารถใช้บังคับได้ตรงตามเจตนารมณ์และให้สามารถใช้บังคับให้รัดกุมได้มากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มกลไกของการกลั่นกรองเนื้อหาก่อนเสนอรัฐมนตรีและเสนอให้ศาลพิจารณา เพื่ออนุญาตให้มีการระงับการแพร่กระจายของเนื้อหาหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะขัดต่อกฎหมาย ขัดความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

รวมไปถึงการแก้ไขเพื่อให้ครอบคลุมไปถึงเรื่องการแก้ปัญหาการทํางานทางปฏิบัติของ พนักงานเจ้าหน้าที่ ในบางครั้งไม่อาจสนับสนุนพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งแต่งตั้งหรือมีอํานาจหน้าที่ ตามกฎหมายฉบับอื่นๆ เพราะมีพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ห้ามเอาไว้ เพราะเดิมกลัวว่า เจ้าหน้าที่ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการติดตามร่องรอยหรือการพิสูจน์พยานหลักฐานทางคอมพิวเตอร์และถูกแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้นจะใช้อํานาจในทางมิชอบ แต่ก่อให้เกิดข้อจํากัดอย่างมากในทางปฏิบัติเพราะไม่สามารถใช้ความรู้ ความสามารถสนับสนุนการดําเนินคดีตามกฎหมายอื่นๆ ได้เลย

2. สรุปสาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติที่มีการแก้ไข

2.1 ร่างมาตรา 2 กําหนดให้กฎหมายมีผลใช้บังคับภายใน 120 วัน

2.2 แก้ไขร่างมาตรา 11 กําหนดเกี่ยวกับเรื่องการส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรําคาญ (Spam) แก่ผู้รับ โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้รับปฏิเสธ การตอบรับได้โดยง่าย นั้นเป็นความผิด และให้รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวง DE) กําหนดเกี่ยวกับลักษณะและวิธีการส่ง ลักษณะ และปริมาณของข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ว่า อย่างใดจึงเป็นลักษณะของความเดือนร้อนรําคาญ เพราะในปัจจุบันพบว่า บางครั้งการส่ง Spam มักมีการฝังชุดคําสั่งไม่พึงประสงค์หรือชั่ร้าย (Malware) มายังผู้รับด้วย

2.3 แก้ไขร่างมาตรา 12 และเพิ่มมาตรา 12/1 ซึ่งกําหนดเกี่ยวกับการปกป้องโครงสร้าง พื้นฐานสําคัญของประเทศ (critical infrastructure) เช่น การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของ ประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ การบริการสาธารณะ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญยิ่งยวดต่อ ระบบเศรษฐกิจ และอาจส่งผลกระทบต่อการดําเนินชีวิตของประชาชน จึงได้มีการกําหนดให้ครอบคลุมคําว่า “บริการสาธารณะ” เอาไว้ด้วย เพราะในบางครั้งอาจเป็นไปได้ว่า ไม่ครอบคลุมอยู่ในความหมายของคําว่า “โครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ” ซึ่งต้องเป็นระบบที่สําคัญอย่างยิ่งหรือมีความสําคัญยิ่งยวดเท่านั้น เช่น ระบบข้อมูลของสํานักทะเบียนราษฎร์ที่มีข้อมูลของประชาชนทั้งประเทศหรือการให้บริการของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งต้องทําให้ระบบอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน (availability) ตลอดเวลา เป็นต้น ซึ่งก็มีประเด็นว่าครอบคลุมอยู่ในความหมายของคําว่า “โครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ” หรือไม่และหากไม่ใช่ ก็มีการเสนอให้เพิ่มเติมคําว่า “บริการสาธารณะ” เอาไว้ด้วย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีประเด็นทักท้วงว่า คําว่า “บริการสาธารณะ” นั้น อาจจะกว้าง เกินไปและอาจส่งผลกระทบต่อการบังคับใช้ได้จึงทําให้มีการปรับแก้เอาคํานี้ออกไปในที่สุด

ร่างมาตรานี้จึงกําหนดเป็นบทหนักของการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในการ เจาะ การแฮกเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ที่ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสําคัญของประเทศที่ส่งผล กระทบต่อประชาชนในวงกว้าง

2.4 เพิ่มเติมร่างมาตรา 13 กําหนดเกี่ยวกับการใช้ชุดคําสั่งที่จัดทําขึ้นทางโดยเฉพาะเพื่อ ไปใช้ในการกระทําความผิดตามกฎหมายฉบับนี้เช่น ชุดคําสั่งที่ตั้งใจทําขึ้นมาเพื่อใช้เจาะระบบผู้อื่น เป็นต้น ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น

2.5 แก้ร่างมาตรา 14 (1) กําหนดให้มีความชัดเจนว่า ให้ใช้มาตรานี้กับการฉ้อโกง ปลอม แปลง หรือหลอกลวงทางทางอินเทอร์เน็ตหรือทางออนไลน์และเขียนให้ชัดเจนว่า ไม่ให้เอาเรื่องนี้ไป ใช้กับเรื่องหมิ่นประมาทอยู่แล้วในกฎหมายอาญาอยู่แล้ว อีกทั้งหมิ่นประมาทในกฎหมายอาญาก็ยังเป็นความผิดที่ยอมความได้ แต่หากกําหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็จะทําให้กลายเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนดังเช่นที่ผ่านมาได้

2.6 ร่างมาตรา 20 ให้ระงับการเผยแพร่หรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ครอบคลุมถึงกรณีที่เป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นความผิดอาญาตามกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งกระทบต่อ ประชาชนและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างมาก

2.7 ร่างมาตรา 20/1 ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่มี ลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันส่งผลกระทบต่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนอย่างมีนัยสําคัญ แต่คํานึงถึงผลกระทบในทางกลับกันต่อสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานของการแสดงความคิดเห็น จึงให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองจํานวน 9 คน ที่ อย่างน้อยต้องมาจากภาคเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสื่อสารมวลชน ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศหรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นองค์ประกอบสําคัญอยู่ในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย

3. ผลกระทบที่เกิดขึ้น การโจมตีที่ทําให้ระบบของรัฐล่มเพียงเพราะไม่พอใจร่างพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ นั้น แม้อาจส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ทั่วๆ ไปของรัฐ ซึ่งบางคนอาจคิดว่า ไม่ใช่เว็บไซต์ที่มีความสําคัญมากนัก แต่ก็ย่อมส่งผลให้ผู้ใช้บริการของเว็บไซต์เหล่านั้น ไม่สามารถเข้าใช้บริการได้จึงมีความสุ่มเสี่ยงที่ ทําให้การกระทําดังกล่าวไม่ใช่แต่เพียงว่า “ไม่สมควรทํา” เท่านั้น เพราะไปกระทบต่อการใช้งานของ ประชาชนที่บริสุทธิ์ หากยังเจตนาและจงใจทําให้เกิดความเสียหายต่อระบบคอมพิวเตอร์หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ก็อาจเป็นการกระทําที่เข้าข่าย “ผิดกฎหมาย” ด้วยเช่นกัน

4. แนวทางการสร้างความเข้าใจ

ตามที่มีกระแสต่อต้านเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เพราะเชื่อว่า

(1) อินเทอร์เน็ตช้าลงเพราะมี Gateway เดียว

(2) ถ้าเน็ตล่มคือล่มทั้งประเทศ

(3) ถูกจํากัดการเล่นเว็บบางเว็บ

(4) เข้าถึงเว็บต่างประเทศยาก

(5) รัฐสามารถดูข้อมูลของเราได้นั้น แท้ที่จริงแล้วไม่มีมาตราใดใน ร่าง พ.ร.บ. คอมฯ ที่กําหนดให้ประเทศไทยมี Gateway ใน เชื่อมโยงข้อมูลกับต่างประเทศเพียงจุดเดียว ซึ่งปัจจุบันมี Gateway มากกว่า ๑๐ แห่งที่ให้บริการ โดยภาคเอกชน หาก Gateway แห่งใดแห่งหนึ่งไม่สามารถให้บริการได้ผู้ใช้บริการยังสามารถรับส่ง ข้อมูลระหว่างประเทศได้อยู่ผ่าน Gateway อื่น มิได้ทําให้การเข้าเว็บต่างประเทศยากขึ้นแต่อย่างใด

ในประเด็นเรื่องการจํากัดการเล่นเว็บบางเว็บ จะกระทบเพียงเว็บไซต์ที่มีลักษณะผิดกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยอํานาจศาลในการสั่ง ระงับการเผยแพร่ทั้งสิ้น การตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ซึ่งมีองค์ประกอบจํานวน 9 คน ที่อย่างน้อยต้องมาจากภาคเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสื่อสารมวลชน ด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศหรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย นั้นจะช่วยให้กระบวนการพิจารณามีความรอบคอบมากขึ้น

การใช้อํานาจตรวจสอบหรือเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อสืบสวนหาตัว ผู้กระทําความผิด โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ต้องอยู่ภายใต้คําสั่งศาล ไม่สามารถทําได้ตามใจชอบ และ หากมีการใช้อํานาจในทางมิชอบ ก็มีการลงโทษตามกฎหมาย

ที่มา : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม