รู้จัก “ฉลากเขียว” เครื่องหมายช่วยสะท้อนความยั่งยืนของแบรนด์ต่อสิ่งแวดล้อม
ฉลากเขียวของประเทศไทย ริเริ่มขึ้นโดยองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Thailand Business Council for Sustainable Development, TBCSD)
…สื่อสังคมออนไลน์ มีบทบาทกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในยุคนี้เป็นอย่างมาก เฟซบุ๊ก (Facebook) ก็เป็นสื่อสังคมออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่มีคนไทยนิยมใช้กันเป็นจำนวนมาก ด้วยข้อดีที่ผู้คนสามารถใช้เฟซบุ๊กในการติดต่อสื่อสาร ติดตามข่าวสารของเพื่อนและบุคคลทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แต่ข้อเสียก็มีมากมาย จนมีคนใช้เฟซบุ๊กบางคนมีอุปนิสัยที่ไม่ดีจากการใช้งานเฟซบุ๊ก อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการ สถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) จึงได้รวบรวม 7 นิสัยสุดยี้!! ที่คนใช้เฟซบุ๊ก มักจะเป็น ดังต่อไปนี้
1.หลงตัวเองมากขึ้น เป็นอุปนิสัยแรกเริ่มที่อาจดูไม่เป็นปัญหา หรือนำไปสู่หลายๆ ปัญหา ไม่น่าเชื่อว่า เฟซบุ๊กทำให้คนหลงตัวเองมากขึ้น! ผู้คนส่วนมากรู้เรื่องตนเองดีที่สุด ฉะนั้นพวกเขาจึงมักโพสต์ทุกอย่างที่พวกเขาภูมิใจ ง่ายที่สุดคือเรื่อง “หน้าตา” คนพวกนี้มักชอบโพสต์รูปตัวเองในมุมสวย หล่อ และเฝ้ารอคนมากดชื่นชอบหรือแสดงความคิดเห็น หรือ กระทั่งการกดปุ่มไลค์ รูปที่ตนเองเพิ่งจะโพสต์ลงไป! เฟซบุ๊ก ทำให้คนขี้โม้ ขี้คุย ขี้อวดมากขึ้น โดยเฉพาะกิจกรรมการอวด หลายคนมักโพสต์รูปถ่ายกับรถใหม่ บ้านใหม่ ของเล่นชิ้นใหม่ บ้านใหม่ งานใหม่ สถานที่เที่ยวใหม่ๆ กระทั่งอาหารที่กำลังจะทานพวกเขาก็ไม่วายที่จะถ่ายรูปเพื่อเอามาอวดเพื่อนๆ หรืออวดว่ามีจำนวนคนมาขอเป็นเพื่อนมากมาย คนมากดชอบ แสดงความคิดเห็น ก็กลายเป็นการส่งเสริมให้พวกเขาหลงตัวเองมากขึ้นไปอีกแน่ว่า พวกเขาทำล้วนทำทุกอย่างเพื่อโปรโมทตัวเอง
2.ขี้อิจฉามากขึ้น เมื่อมีคนโพสต์เรื่องตนเอง หน้าตาดี ชีวิตดี ฐานะดี ดูดี ดูเท่ห์ คนอีกจำนวนหนึ่งที่รู้สึกว่าชีวิตตนเองไม่ดีแบบนั้น จึงกลายเป็นคนที่ขี้อิจฉามากขึ้น พวกเขายิ่งรู้สึกด้อยค่าและไม่พอใจในชีวิตตนเอง และรู้สึกว่าตนเองเป็น “ไอ้ขี้แพ้” ตลอดเวลา ในแง่นี้อธิบายได้ว่า “เพราะในโลกจริง ผู้คนส่วนใหญ่ ก็ยังเป็นคนจน ชนชั้นกลาง หลายๆ คนไม่ได้เป็นคนเก่ง คนที่ได้รับสถานะทาสังคมเฉกเช่นดารา คนดัง หรือบุคคลสาธารณะ เพื่อคนธรรมดาเหล่านั้นเข้ามาใช้เฟซบุ๊ก เขาก็เพียงแค่อยากจะรู้สึกเป็นคนเด่น คนดัง คนสำคัญบ้าง จึงต้องสร้างภาพตนเองให้ดูดีในพื้นที่สาธารณะสักเล็กน้อย เพื่อหลอกตัวเองหรือผู้อื่น การยกระดับภาพชีวิตตนเองให้ดีขึ้น ก็มิใช่อะไรอื่น นอกจากเขาอิจฉาคนอื่น ไม่ว่าจะมาจากโลกจริงหรือโลกเสมือนก็ตาม”
3.มองโลกในแง่ร้าย เฟซบุ๊ก เป็นที่ที่คนชอบโพสต์เรื่องส่วนตัวดีๆ ขณะที่เรื่องส่วนรวมของสังคมมักเป็นเรื่องร้ายๆ ดังนั้นคนที่เสพข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก จึงมักเห็นเรื่องปัญหาสังคมต่างๆ ถูกหยิบขยายความ ตีความ ส่งต่อแพร่หลายกระจายวงกว้าง พวกเขาจึงรู้สึกว่า “โลกช่างโหดร้าย” และมีลักษณะไม่ไว้วางใจผู้คนเรื่องต่างๆ มากขึ้น
4.ชอบสอดส่องสอดรู้ชีวิตคนอื่นๆ เฟซบุ๊ก เอื้อโอกาสให้เราสามารถสอดส่องดูชีวิตของเพื่อนเราได้อย่างไร้ขอบเขตเวลา และสถานที่ แม้จะมีระบบติดตั้งความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว แต่ผู้คนจำนวนมากก็หลงลืมการสร้างเขตแดนจำกัดพื้นที่ชีวิตของตน หลายคนถูก “หลงไหล/ติดตาม/เฝ้าดู” อย่างใกล้ชิดจากคนแปลกหน้าที่เข้ามาเป็นเพื่อน และชีวิตของเราก็ถูกคนทั้งโลกจับตามองอยู่ตลอดเวลา การสอดส่อง ติดตาม (Stalker) หรือการเข้าไปก้าวล่วงชีวิตของผู้อื่น นั่นแสดงว่าคุณมีปัญหาสุขภาพจิตอย่างหนัก เพราะคุณเริ่มแยกไม่ออกระหว่าง พื้นที่สาธารณะ และความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น และนั่นอาจทำให้คุณรู้สึก “ย่ามใจและมีอำนาจเหนือชีวิตของผู้อื่น” และก้าวไปสู่ปัญหาความสัมพันธ์ในโลกจริงกับเขาที่คุณชื่นชอบ
5.เปิดเผยตนเองมากขึ้น-กันเองมากขึ้น ในที่นี้ หมายถึง จะเริ่มเป็นกันเองมากขึ้นกับทุกๆ คน เฟซบุ๊ก มีระดับความเป็นเพื่อนมากมาย แต่ทุกคนก็หลงลืมระยะห่างทางกายภาพในโลกแห่งความเป็นจริงผู้คนในเฟซบุ๊กใช้ภาษา หรือเข้ามาพูดจาทักทายผ่านข้อความกับบุคคลต่างๆ เสมือนเป็นเพื่อนมาอย่างยาวนาน พวกเขา “ระมัดระวังและรักษาระยะห่างน้อยลง” ความสัมพันธ์กลายเป็น “ง่ายๆ และกันเอง” นั่นทำให้ภาษาพูดและ ระดับการคุกคาม การวิพากษ์วิจารณ์มีระดับรุนแรง และนำไปสู่การพูดแบบไม่ใส่ใจเขาใจเรามากขึ้น ผู้คนในเฟซบุ๊ก ใช้ถ้อยคำภาษาที่กันเองมากขึ้น พวกเขาไม่รู้สึกแปลกที่จะบอกเล่าเรื่องราวความคิดความรู้สึกของตนเองกับคนแปลกหน้า และนั่นนำมาสู่ การเปิดรับ รู้จักคนแปลกหน้ามากขึ้น และกับดักของอาชญากรในเฟซบุ๊กที่พวกเขามักใช้ คือ ถ้อยคำที่สุภาพ ท่าทางที่ดูคบได้ ไว้ใจได้ และการสร้างความไว้วางใจที่มาจากบทสนทนาที่ดูเป็นกันเอง
6.จมทุกข์แบกโลกซึมเศร้า มีหลายคนที่ในชีวิตจริงพวกเขาไม่มีความสุข พวกเขาจึงแบกโลกที่พวกเขาอยู่มาสถิตไว้ในเฟซบุ๊ก กลายเป็นแหล่งระบายอารมณ์ จมทุกข์ โศกเศร้ามากขึ้น การระบายอารมณ์ หรือแสดงความรู้สึกผิดหวังเสียใจนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่คุณอาจพบว่ามีเพื่อนบางคนที่มักจะอยู่ในอารมณ์เศร้าตลอดเวลา นั่นแสดงว่าเขาไม่สามารถหลุดพ้นก้าวข้าวสภาวะนั้นได้ และ จะกลายเป็นคนที่มีภาวะซึมเศร้าแบบออนไลน์ตลอดเวลา และคนอื่นๆ ก็จะพากันเบื่อหน่ายหรือรังเกียจพวกเขา แทนที่จะเข้าใจและช่วยรักษาพวกเขา
7.หลงใหลยึดติดแบบอย่างชีวิตของผู้อื่น เฟซบุ๊ก เป็นสังคมเสมือนจริง แต่ไม่ใช่โลกจริง เป็นที่ที่ผู้คนดี เลว รวย จนมาสื่อสารร่วมกัน คนธรรมดา ดารา คนดัง มาใช้ชีวิตร่วมกันในโลกออนไลน์ ผู้คนส่วนมากที่ติดเฟซบุ๊ก จะแยกแยะไม่ออกระหว่างชีวิตจริง โลกจริง พวกเขาเริ่มรู้สึกยึดติด ติดตาม ผูกพันกับชีวิตของคนอื่นๆ มากขึ้น กลายเป็นว่า พวกเขาจะใช้ชีวิตของตนเองด้วยการยึดเอาชีวิตของคนอื่นเป็นแนวทาง ที่พักพิงใจ และเริ่มสนใจชีวิตตนเองน้อยลง คนที่หลงใหลในชีวิตผู้อื่น จะสูญเสียความภูมิใจในตนเอง มากไปกว่านั้น คือ เฝ้ารอ เฝ้าคอยที่จะติดต่อติดตามสื่อสารกับผู้อื่น คนที่เขานับถือเป็นแบบอย่างตลอดเวลา เขาจะไม่สนใจชีวิตของตนเองอีกต่อไป ร้ายกว่านั้นคือ เขาอนุญาตให้ชีวิตคนอื่นเข้ามาควบคุมบงการชีวิตของเขาเอง ร้ายที่สุด คือ สับสนในโลกจริง โลกเสมือน และไปใช้ชีวิตของตนเองในชีวิตเฟซบุ๊กของคนอื่น
จะเห็นว่า เฟซบุ๊กนั้น มิใช่เชื้อโรคหรือไวรัส แต่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่บ่มเพาะ ผลิต และเผยแพร่โรค อันเกิดมาจากผู้คนที่มาใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมเสมือนจริง ผู้คนต่างๆ เข้ามาเสพติดมันและเปลี่ยนนิสัยตนเอง หรือย้ำสร้างนิสัยเดินตนเองให้มีความรุนแรงมากขึ้น
พลังของเฟซบุ๊ก ที่ให้การสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์ สภาวะไร้ขอบเขตเวลาพรมแดน และการปลดปล่อยตัว ซ่อนเร้นตนเองจากชีวิตจริง นั่นทำให้ต่างคนต่างแพร่กระจายโรคออนไลน์ได้ง่ายขึ้น หากเราใช้สื่ออย่างรู้ตระหนักเท่าทันสภาวะจิตใจตนเอง เท่าทันอารมณ์ และรู้ทันความโลกเสมือนจริงนี้ เราก็จะมีภูมิคุ้มกันสื่อและใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข
ที่มา : บทความ 7 นิสัยอันตรายในเฟซบุ๊ก ธาม เชื้อสถาปนศิริ, นักวิชาการ สถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.)