“KFC” ปรับธุรกิจขายกิจการทุกสาขาในไทย สนองนโยบายบริษัทแม่


กลายเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดการพูดคุยกัน เมื่อ “เคเอฟซี” ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังเดินหน้าขายกิจการสาขาในไทยล็อตสุดท้ายจำนวน 244 สาขา โดยคาดการณ์ว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายนของปีนี้ เพื่อเปิดกว้างให้พันธมิตรเดิมได้ทั้งซีอาร์จีกับอาร์ดี และผันบทบาทตัวเองสู่การเป็นผู้สนับสนุนแฟรนไชส์ 100% ตามนโยบายบริษัทแม่

นางแววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล ผู้จัดการทั่วไป เคเอฟซี ประเทศไทย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทางบริษัทแม่มีการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจสู่ระบบแฟรนไชส์ 100% เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของแบรนด์ให้เติบโตควบคู่ไปกับการขยายสาขาของร้านเคเอฟซีให้ได้จำนวน 800 สาขา ภายในปี 2563

โดยทางบริษัทมีการประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2559 ที่ผ่านมาว่า บริษัท ยัมฯ ได้มิบหมายให้บริษัทไพร้ซ์ วอเตอร์ เฮาส์ เป็นที่ปรึกษาการขายให้กับผู้ที่สนใจอยากซื้อกิจการสาขาร้านเคเอฟซีในไทยที่บริหารโดยบริษัท ยัมฯ ที่ยังเหลืออยู่ 244 สาขาให้กับผู้ที่สนใจทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดการณืว่าจะสามารถขายได้หมดภายในเดือนกันยายนนี้

ด้าน พนักงานทางบริษัทได้แจ้งกับพนักงานออฟฟิศกว่า 270 คน และพนักงานตามร้านสาขาเคเอฟซี ตลอดจนพันมิตรต่างๆเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจสู่บทบาทการเป็นผู้บริหารแฟรนไชส์ในครั้งนี้เป็นที่เรียบร้อย

สำหรับ แผนงานปี 2560 แบรนด์ “เคเอฟซี” ทั้งหมด 3 รายจะลงทุนร่วมกันราว 1,035 ล้านบาทในการขยายสาขารวม 52 แห่งในปีนี้ โดยแบ่งเป็นไดรฟ์ทรู 15 แห่ง และจะยังคงสัดส่วนการบริการดีลิเวอรีครอบคลุม 50% ของสาขาเคเอฟซีทั้งหมด และอีก 700 ล้านบาทเป็นงบการตลาด แต่เมื่อการขายแฟรนไชส์ให้ผู้ที่สนใจเสร็จตามแผนแล้ว ทางยัมฯ ก็จะหยุดการลงทุนขยายสาขาเพื่อปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางแฟรนไชส์

ทั้งนี้ การทำงานจากนี้ไปเรามี Brand Advisory Council ซึ่งประกอบไปด้วย แววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล, จีเอ็มของ ซีอาร์จี, จีเอ็มของอาร์ดี และผู้บริหารจากยัมฯ ที่ดูแลเคเอฟซี 244 สาขา เพื่อเป็นคณะทำงานการวางนโยบาย ทั้งขยายสาขา การตลาด การพัฒนาต่างๆ เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งแฟรนไชส์จะเป็นผู้ลงทุนสาขา ส่วนงบการตลาดนั้นจะมาจากการหักเปอร์เซ็นต์จากยอดขายของแต่ละรายเพื่อเข้ากองกลาง โดยมีทีมการตลาดของยัมฯ เป็นผู้ดูแลบริหาร