อดีตพนักงานเสริฟโรงแรม ก้าวสู่ CEO ธุรกิจน้ำดื่ม ยอดขาย 70 ล้านขวดต่อปี


ร่วมโฟกัสกับคุณปุ๊ ณัชชารีย์ สุขเจริญไกรศรี ทายาท ธุรกิจน้ำดื่ม Holland Star Packaging

เส้นทางของทายาทธุรกิจที่ฝันอยากจะสร้างธุรกิจด้วยมือของตนเอง กับการก้าวออกจากครอบครัว ลุยธุรกิจแล้วล้มถึง 3 ธุรกิจ แต่ประสบการณ์ได้สร้างความคิดและวิสัยทัศน์ จนสามารถกลับมากู้วิกฤต ธุรกิจน้ำดื่ม ของครอบครัวที่มีหนี้สินถึง 30 ล้านได้สำเร็จ!!

จากจุดเริ่มต้นของครอบครัวที่มีต้นทุนพร้อมให้ออกไปหาโอกาสและประสบการณ์ข้างนอก จึงทำให้คุณปุ๊มีเป้าหมายที่ “อยากทำธุรกิจของตัวเอง ไม่อยากทำธุรกิจที่บ้าน แต่อยากหาประสบการณ์ข้างนอก” ทำให้มีการดิ้นรนด้วยตัวเองมาตลอด

ก่อนเรียนจบก็ได้มีการร่วมหุ้นกับเพื่อนทำผับบาร์แต่ก็เจ๊งจนต้องปิดตัวลง ต่อมาหลังจากเรียนจบก็ได้มีโอกาสทำธุรกิจขายผ้าขนหนู ที่รับมาจากโรงงาน มาเปิดหน้าร้านขายและขายออนไลน์ ซึ่งเมื่อขายออนไลน์แล้วกลับพบว่าสามารถทำกำไรได้ดี กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็น รีสอร์ท โรงแรมใหญ่ภาคใต้ แต่หน้าร้านกลับขายไม่ได้ จึงทำให้หน้าร้านต้องปิดลงเพราะเสียดายค่าเช่า

แม้จะล้มมาหลายธุรกิจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียใจ แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกว่า “มันคือประสบการณ์ที่ดี และปัญหาที่เจอมันเป็นดั่งโอกาสให้เรามองเห็นความผิดพลาดชัดเจนมากขึ้น” เช่น การขายผ้าขนหนูได้สอนให้เราเห็นถึงปัญหาเรื่องต้นทุนที่สูงไป ช่องทางการทำการตลาดที่ได้ทำมา ซึ่งทำให้รู้ว่าถ้าต่อไปจะทำธุรกิจเราควรมองอะไรรอบตัวบ้าง และควรจะควบคุมอะไรบ้าง

หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองอยากทำธุรกิจโรงแรม แม้ว่าธุรกิจโรงแรมจะเป็นหนึ่งในธุรกิจครอบครัว แต่ก็อยากที่จะทำมันขึ้นมาเป็นของตนเอง โดยคุณปุ๊ได้ไปฝึกงานที่โรงแรมศรีพันวามาถึง 4 แผนก ตั้งแต่แผนกอาหารเป็นเด็กเสริฟ บาร์เทนเดอร์ , ทำความสะอาดห้องพัก ล้างห้องน้ำ, พนักงานต้อนรับ รับแขก เช็คอิน เช็คเอ้าท์ เพื่อที่อยากจะรู้รายละเอียดของธุรกิจในส่วนต่างๆ อย่างระเอียด แต่สุดท้ายยังไม่ทันจะได้ทำครบทุกแผนกก็ต้องกลับมาทำธุรกิจครอบครัว เพราะ ธุรกิจ ฮอลแลนด์ สตาร์ บรรจุภัณฑ์ ได้ประสบปัญหาการขาดทุนสะสมมากถึงปีละ 30 ล้าน ทำให้ครอบครัวต้องเรียกตัวกลับด่วน

หลังจากที่เข้าไปดูปัญหาและหวังที่จะเอาประสบการณ์ที่ได้มาจัดการปัญหา ซึ่งปัญหาหลักๆ คือเครื่องจักรที่ไม่พร้อมและทีมงานที่ทำงานไม่เป็นระบบ ไม่มีทีมเวิร์ค และต้องลงลึกอีกว่าปัญหาแต่ละประเด็นมีอะไร เข้าให้ถึงรายละเอียดย่อย และต้องค่อยๆ มาแจกแจงออกมา ซึ่งในวันแรกที่เข้ามาช่วยบริหารธุรกิจก็ได้มีการจัดประชุมทันทีรับทราบถึงปัญหาต่างๆว่าโรงงานเรามีปัญหาอะไร คนทำงานไม่เป็นระบบ เครื่องจักรเพราะอะไรถึงไม่สามารถผลิตไปตามเป้าสูงสุดได้? และเราก็ต้องคุยกับคนว่าเรามาที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี เป้าหมายของบริษัท เป็นอย่างไร จะเดินไปทิศทางไหน

แม้ตอนแรกพนักงานต่างๆ จะไม่ฟังเพราะไม่รู้ว่าเราเป็นใครอยู่ๆก็มาเป็นผู้บริหารสั่งโน้นนี่ แต่เราก็ต้องบอกถึงความมุ่งมั่นว่าเราเข้ามาเพื่อมาดูแลทำให้มันดีขึ้น อย่างน้อยคุณเป็นทีมงานก็ต้องช่วย ถ้าไม่ให้ความร่วมมือมันก็ถึงเวลาที่คุณต้องออก

จากนั้นก็เริ่มเข้าที่ประชุมคุยกับผู้จัดการฝ่ายต่างๆว่ามีปัญหาอะไรและสามารถแก้ได้ไหม ทุกอย่างต้องดีขึ้น สุดท้ายผู้จัดการคนไหนทำงานที่เราวางระบบไว้ไม่ได้เขาก็อยู่ไม่ได้ นั่นมันเป็นโอกาสที่ดีที่เราได้หาคนที่เราต้องการเพราะเราเป็นคนสัมภาษณ์และรับคนใหม่มาเองทุกคน แม้พนักงานระดับทีมสูงก็รับเข้ามาเอง รวมแล้วเวลาในการจัดการเกือบปี เพราะมีช่วงยากคือเรื่องต้นทุนที่สูง ซึ่งเราต้องลดมันลงโดยการจ้างพนักงานออกประมาณ100 กว่าคน และการที่มีคนเยอะทำให้ทุกคนไม่แอ็คทีปตัวเอง และมองว่าปริมาณคนเท่าไหร่ ที่อยู่แล้วทำงานกับเครื่องจักรได้พอดี นี่คือจุดที่ยาก และเป็นจุดเปลี่ยน ให้เหลือแต่คนที่มีคุณภาพและลดต้นทุนโรงงานลง และก็ต้องลงไปเข้าถึงปัญหาของเครื่องจักรกับวิศวกร พร้อมกันกับจัดระบบโรงงาน

เมื่อแก้ไขปัญหาในโรงงานแล้วก็ต้องมองออกถึงภายนอก ก็คือการขาย โดยเริ่มมองถึงความต้องการในอนาคตที่ทุกแบรนด์อยากทำน้ำเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะร้านอาหาร โรงแรม หรือบริษัทต่างๆ จึงได้เล็งเห็นช่องทางการทำกาผลิตน้ำดื่มให้กับธุรกิจต่างๆ ถึงแม้จะกำไรน้อยแต่เราก็ได้เหมือนการประชาสัมพันธ์แบรนด์ตัวเองไปในตัว ซึ่งในตอนนี้ทำอยู่ 60 กว่าแบรนด์ และในอนาคตจะผลักดันแบรนด์ของตัวเองอย่าง “STAR” ไปในทางออนไลน์และ Direct Sales มากขึ้น และมองโอกาสจะขายออนไลน์ส่งตรงถึงหน้าบ้านลูกค้าซึ่งเป็นกลยุทธ์การทำตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่ต้องไปซื้อน้ำดื่มเองที่บ้าน เพียงแค่สั่งออนไลน์ก็ได้น้ำดื่มมาเสริฟถึงหน้าบ้านแล้ว

จากที่ติดลบ 30 กว่าล้านจนตอนนี้กลายเป็นบริษัทที่ทำกำไร และสร้างระบบการทำงานเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าฝันจะอยากมีโรงแรมของตัวเองแต่ตอนนี้ก็ต้องทำตรงนี้ให้เต็มที่ “ทำไมต้องเริ่มต้องนับ 1 ที่โรงแรมเลย แต่เราจะปั้นน้ำให้เป็นโรงแรม นี่คือความท้าทายใหม่”

แม้ตอนนี้จะไม่ได้ตามฝันแต่จุดนี้เราคิดว่ามันคือหน้าที่และความรับผิดชอบ ต้องกลับมาช่วยครอบครัวก่อน ซึ่งมันคือความท้าทายและบทพิสูจน์ตัวเราว่าเราทำได้ และฝ่าฟันไปอีกขั้น เราอายุแค่นี้ยังมีเวลาที่จะตามฝัน และคิดว่าถ้าหลังจากช่วยครอบครัวแล้ว เดินต่อไปถึงฝันคงอีกไม่ไกลก็ถึง เพราะตอนนี้คิดว่าปั้นน้ำเป็นโรงแรมมันเป็นไปได้

[บทความทั้งหมด] | [คลิปรายการทั้งหมด]