คุณมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) เปิดเผยในรายการตอบโจทย์ SME ว่า
ที่ผ่านมา ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ,รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง,รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งทั้ง 2 ท่านเป็นผู้รักษาการตาม พรบ.ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย รวมถึงยังมีหน่วยงานอื่นๆอีก อาทิ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม,สำนักงานคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ,สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง , CEO ของธนาคารกรุงไทยและออมสิน ,บสย. รวมถึงเอกชนอย่างสมาคมธนาคารไทย มีทั้ง ธ.กสิกรไทยและ ธ.กรุงเทพ เป็นต้น โดยเฉพาะประเด็นงบประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เป็นกองทุนพัฒนาSME ตามแนวประชารัฐ เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนให้ SME ใน 18 กลุ่มจังหวัดและจังหวัดอื่นๆที่ไม่ใช่ในกรุงเทพมหานคร หรือ Local Economy โดยคาดหวังให้เสือคืนถิ่น หรือนำบุคคลที่อยู่ในแต่ละภูมิภาคแล้วเข้ามาทำงานในเมือง ให้กลับคืนถิ่นของตนเองด้วยการกลับไปพัฒนาบ้านเกิดตนเอง โดยการของบในวงเงิน 2 หมื่นล้านบาทนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นการกู้เงินเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะผ่านกลไกประชารัฐด้วยก็ได้ โดยแต่ละจังหวัดจะมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานในการคัดเลือกโครงการของชุมชน แต่ต้องมียุทธศาสตร์ที่แน่ชัดและต้องเกิดประโยชน์แก่ชุมชน โดยทุกจังหวัดมีแผนเรียบร้อย ปัจจุบันเหลือขั้นตอนในการจัดทำแบบฟอร์มในการขอยื่นสนับสนุนโครงการ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม และจะเริ่มรับสมัครโครงการของชุมชนหรือจังหวัดได้ในเดือนเมษายนนี้ โดยจังหวัดหนึ่งจะมีเงินลงจังหวัด จังหวัดละราวๆ 200 ล้านบาท ตกแก่บริษัท 10-20 บริษัท ดังนั้น บริษัทต้องมีโครงการโดดเด่นที่ต้องพัฒนาการท่องเที่ยวหรือเกษตรให้พื้นที่ ซึ่งเมื่อโครงการผ่านแล้วจะมีการติดตามผลการดำเนินการของโครงการอย่างต่อเนื่องด้วย
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาอาจจะเกิดการบริหารที่ผิดพลาดทำให้ธนาคารอยู่ในสถานะอ่อนแอ แต่ในปัจจุบันสามารถธนาคารออกมาจากห้องไอซียูได้แล้วและไม่เป็นภาระของรัฐ หรือบรรลุตามเป้าหมายของแผนฟื้นฟู แต่ยังต้องเฝ้าระวังและเพิ่มภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ ธพว.มีเงินกองทุน 8 พันกว่าล้านบาท มีสินทรัพย์แสนกว่าล้านบาท ส่วนหนี้ NPL จาก 40% ลดเหลือเพียง 18-19% แต่จะพยายามทำให้เหลือเลขตัวเดียวในอนาคตอันใกล้
ส่วนสินเชื่อโครงการ Smart SME บัญชีเดียว เป็นการสานต่อมาตรการที่ภาครัฐต้องการให้ SME จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและทำบัญชีเดียวในการประกอบกิจการ จึงได้ผุดเป็นโครงการนี้ โดยรายละเอียดการปล่อยสินเชื่อต่อราย คือ ให้ 5 ล้านบาท โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ในการค้ำประกันแต่ใช้ บสย.ค้ำประกันแทน , ผ่อนชำระ 5 ปี , ดอกเบี้ย 5% , พิจารณาใน 5 วัน และ ไม่ต้องชำระคืนเงินต้น 5 เดือน (โครงการสินเชื่อ 55555) ซึ่งปีที่แล้วมีการตั้งวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท แต่มีผู้ยื่นเจตจำนงคิดเป็นวงเงินถึง 2 หมื่นล้านบาท ปีนี้จึงตั้งวงเงินเป็น 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งโครงการนี้จะมุ่งไปที่ธุรกิจ 4 ประเภท คือ ธุรกิจด้านการท่องเที่ยว อาทิ นำเที่ยว อาพาร์ทเม้นต์ บูทีคโฮเทล เรือสำราญ เป็นต้น , ร้านขายยา , ร้านทอง และร้านแว่นตา ทั้งนี้โครงการนี้สามารถยื่นกู้ได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560
รวมถึงกองทุนพลิกฟื้นผู้ประกอบการผ่าน SME Rescue Center ยังคงรอให้ผู้ประกอบการมาขอความช่วยเหลือ ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าของ ธพว.ได้รับการช่วยเหลือผ่านศูนย์นี้ประมาณ 200 ราย นอกจากนี้ หากใครที่เคยเป็นหนี้บุคคลธรรมดา 2 ล้านบาท หรือนิติบุคคล 3 ล้านบาทขึ้นไป และถูกเจ้าหนี้หรือสถาบันการเงินสามารถยื่นขอฟ้องจนเกิดการท้อแท้หรือสิ้นหวัง สามารถขอรับคำปรึกษากับ ธพว. เพื่อยื่นขอกับศาลในการขอระงับคดีเป็นระยะเวลาถึง 3 ปี แล้วจะสามารถขอยื่นกู้ต่อได้กับสถาบันการเงิน รวมถึง ธพว.ได้เพิ่มสินเชื่ออีกประเภทหนึ่งเพื่อเป็นการหมุนเวียนแก่สถานประกอบการคือ การนำเอาลูกหนี้การค้าเป็นรัฐบาลมาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ ด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 3.99 แต่หากเป็นลูกหนี้เอกชนที่ไม่ใช่ในตลาดหลักทรัพย์จะได้รับดอกเบี้ยร้อยละ 4.99