ด่วนที่สุด! ค้าปลีกสหรัฐฯอาจเกิดวิกฤติ “ฟองสบู่แตก”


ผู้บริหารระดับสูงของ Urban Outfitters เปรียบเทียบสถานการณ์ของธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันว่าคล้ายกับวิกฤตเศรษฐกิจ Housing-market เมื่อปี 2008 ที่ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซบเซา

ความเฟื่องฟูของธุรกิจออนไลน์ ทำให้บริษัทค้าปลีกออฟไลน์จำนวนมากประสบปัญหาจากการที่ลูกค้าหันไปเลือกซื้อสินค้าทางออนไลน์ จนยอดขายร้านค้าลดลงส่งผลให้บริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มีสาขาเยอะต้องรับภาระทางการเงินมหาศาล

ปัจจุบันสหรัฐฯมีพื้นที่สำหรับร้านค้าจำนวนมาก โดยเฉพาะร้านขายเสื้อผ้าที่มีสัดส่วนมากที่สุด ซึ่งจำนวนร้านค้าและพื้นที่ให้เช่าที่เพิ่มขึ้นทำให้ธุรกิจค้าปลีกเกิดภาวะฟองสบู่คล้ายกับช่วงวิกฤตตลาดบ้านในปี 2008

ทั้งนี้ปริมาณร้านค้าปลีกที่มีอยู่มากเกินไป ทำให้แต่ละร้านต้องเข้าสู่วงจรการลดราคาเพื่อแข่งขันกัน ซึ่งการลดราคาบ่อยๆส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือในแบรนด์และทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์แย่ลงอีกด้วย

ห้างสรรพสินค้าชั้นนาอย่าง Macy’s และ J.C. Penney กำลังพยายามแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการปิดตัวร้านค้าที่ไม่จำเป็นออกไปจำนวนมาก

ผลจากการวิจัยข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ Green Street Advisors ระบุว่าห้างสรรพสินค้ากว่า 800 แห่ง หรือประมาณ 20% ของห้างสรรพสินค้าทั้งหมดในสหรัฐฯ ควรที่จะปิดตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อจะได้ใช้พื้นที่นั้นให้เกิดประโยชน์และดึงความสามารถทางการขายให้กลับมาเหมือน 10 ปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ร้านค้าปลีก Gap, J.Crew และ Urban Outfitters ยังคงเปิดร้านค้าต่อไปถึงแม้ว่าผู้บริโภคจะหันมาซื้อของทางร้านค้าออนไลน์และจ่ายเงินกับการซื้อของแต่งตัวน้อยลง

ปัจจุบันร้านค้าส่วนใหญ่ในสหรัฐฯกำลังปรับเปลี่ยนรูปแบบการขาย โดยร้าค้าออฟไลน์จะไม่ได้เป็นเพียงช่องทางขายสินค้าเท่านั้น แต่จะเป็นสถานที่ที่ลูกค้าสามารถได้รับประสบการณ์ใหม่ๆจากแบรนด์หรือสินค้านั้นๆ ซึ่งลูกค้าไม่สามารถรับประสบการณ์แบบนี้ได้จากการซื้อสินค้าบนออนไลน์

ถึงแม้จะเกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ เพราะมีร้านค้าที่มากเกินไป แต่ร้านค้าออฟไลน์ก็ยังคงจำเป็นต่อการค้าขาย เพราะเป็นสถานที่ที่ลูกค้าสามารถเห็นตัวสินค้าจริงและได้ทดลองใช้ ซึ่งในระบบออนไลน์ทำไม่ได้ ในขณะที่แบรนด์ต่างๆได้ปิดตัวร้านค้าออฟไลน์ที่ไม่ทำกำไรลงเพื่อลดภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีและสร้างผลกำไรสูงสุดให้กับธุรกิจ

ที่มา : Quartz  และ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก