รัฐหนุนอุตสาหกรรมอาหารสร้างนวัตกรรม นำค่าใช้จ่าย R&D เว้นภาษีได้ 3 เท่า


“อรรชกา” เผยกุญแจผลักดันเศรษฐกิจไทยหนีกับดับประเทศรายได้ปานกลางต้องขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม แนะอุตสาหกรรมอาหารใช้เทคโนโลยีพัฒนาสินค้าเหมาะกับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ด้านซีอีโอเมืองนวัตกรรมอาหาร เผยภาครัฐพร้อมหนุนผู้ประกอบการธุรกิจอาหารสร้างนวัตกรรม นำค่าใช้จ่ายการวิจัยมายกเว้นภาษีเงินได้ 3 เท่า

ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวในการเป็นประธานเปิดงาน “Talent Mobility for Food Innovation 2017” การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ “Value-Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม”  ปรับการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ไปสู่การผลิตสินค้าเชิงนวัตกรรม  ดังนั้น ภายใต้โมเดลการพัฒนาประเทศไทย 4.0   อุตสาหกรรมอาหารไทย ต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ โดยนำวิทยาการและองค์ความรู้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาใช้ในการเพิ่มความได้เปรียบในเชิงแข่งขัน

สำหรับงาน Talent Mobility for Food Innovation 2017  นับเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา  ที่จะขยายฐานการใช้ประโยชน์จากบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อร่วมกันผลักดันให้อุตสาหกรรมอาหารซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เติบโตสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่

นอกจากนี้ ในงานจัดเวทีพบกันระหว่างนักวิจัยจากภาครัฐกับผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึง ยังมีการลงนามความร่วมมือสนับสนุนทุนโครงการวิจัยระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เพื่อส่งเสริมบุคลากรจากภาครัฐและสถาบันอุดมศึกษา ไปช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคผลิตและบริการอย่างเป็นรูปธรรม

ดร.อัครวิทย์ กาญจนโอภาษ รองเลขาธิการ สวทน. และซีอีโอเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) กล่าวว่า ปัจจัยที่สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายเมืองนวัตกรรมอาหาร คือ นักวิจัย และกลไกสนับสนุนให้นักวิจัยในภาครัฐและเอกชนได้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ที่เน้นการส่งเสริมและสนับสนุนบริษัทอาหารในการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และบริการ ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จและบริการครบวงจร นอกจากนี้ยังเน้นส่งเสริมการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านมาตรฐานวิเคราะห์ทดสอบและความปลอดภัยด้านอาหาร โดยอาศัยกลไกประชารัฐ เชื่อมโยงกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับหน่วยงานวิจัย เพื่อสร้างนวัตกรรมอาหาร โดยระบบมีความปลอดภัยสูง เพื่อรักษาข้อมูลความลับและการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ตามมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันยังสนับสนุนให้บุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยพัฒนาจากทั่วโลก มาร่วมวิจัยพัฒนากับบริษัทและหน่วยงานในเมืองนวัตกรรมอาหาร เพื่อพัฒนาบุคลากรด้านนวัตกรรมอาหารด้วย

ทั้งนี้ การลงทุนทำวิจัยพัฒนาของบริษัทนั้น ผู้ประกอบการสามารถนำค่าใช้จ่ายขอยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวน 3 เท่า ของค่าใช้จ่ายจริงตามเพดานที่กำหนด (60% ของรายได้ ส่วนที่ไม่เกิน 50 ล้านบาท บวกเพิ่ม 9% ของรายได้ ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท และ บวกเพิ่ม 6% ของรายได้ ส่วนที่เกิน200 ล้านบาท)

สำหรับงาน Talent Mobility for Food Innovation 2017    จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคมนี้ ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  ภายในงานมีกิจกรรมสัมมนาความรู้ด้านเทคโนโลยีอาหาร  การพบกันระหว่างนักวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอาหารและนักธุรกิจ