ดร.อนิศรา เพ็ญสุข ติ๊บแก้ว อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยทักษิณวิทยาเขตพัทลุง ได้มีการเปิดเผยในรายการตอบโจทย์SME ว่า
เกษตรอินทรีย์คือการดูแลองค์ประกอบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตร อาทิ ดิน อากาศ น้ำ การขนส่ง ปุ๋ย เป็นต้น แต่หากพื้นที่ใดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้นั้น ก็เปลี่ยนตนเองเพื่อให้ได้มาตรฐาน GAP แทน ด้วยหลายๆวิธี อาทิ กางมุ้ง หรือสร้างโรงเรือน ทั้งนี้ ระยะแรกหรือปีแรกๆของการเปลี่ยนเป็นอินทรีย์ ผลผลิตอาจจะไม่ได้เป็นตามที่ตนเองคาดหวัง เนื่องจากสารเคมีที่ใช้ไปนานๆนั้นจะส่งอาหารต่อพืชทันที แต่ถ้าเป็นอินทรีย์ที่ต้องงดใช้เคมีและปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการตามทางธรรมชาติทำให้พืชผลงอกเงยช้าและผลผลิตน้อย แต่ระยะยาวจะส่งผลดีในทุกมิติ ทั้งคุณภาพและปริมาณของผลผลิตที่มากขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้ง ดินน้ำและอากาศ สุขภาพของผู้ปลูกดี ผู้บริโภคได้รับประทานพืชผลที่ดีต่อสุขภาพ พืชผลมีมาตรฐานทั้งในและต่างประเทศ มีมูลค่ามากขึ้นและทำให้ส่งออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น สุดท้ายคือเกษตรกรไทยจะสามารถยืนได้ด้วยตนเองอย่างมั่นคงและเกิดความยั่งยืน ส่วนโครงการนาเคมีสู่นาอินทรีย์นั้น อาจารย์ได้เริ่มเก็บข้อมูลของเกษตรกรในพื้นที่ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะด้านพฤติกรรมของการปลูกที่ยังพึ่งพาเคมี ทำให้อาจารย์ต้องการปรับเปลี่ยนให้เป็นเกษตรอินทรีย์จริงๆ และหลังจากอาจารย์ได้ศึกษาเกษตรกรรายย่อยที่มีผลผลิตไม่มากมาสักระยะหนึ่งก็พบปัญหาในเรื่องของโรงสีข้าวและสร้างแบรนด์เฉพาะของเกษตรกรในพื้นที่ เนื่องจากเกษตรกรเป็นผู้สูงวัยทั้งหมด จึงได้สร้างแบรนด์มโนราห์ ทั้งที่เป็นข้าวสังข์หยดและนำปลายข้าวที่ไม่มูลค่า สาขาเทคโนโลยีอาหารจึงนำมาทำเป็นบราวน์นี่กรอบข้าวสังข์หยด โดยจะเน้นไปที่ตลาดต่างประเทศ
ส่วนการรับซื้อข้าวนั้นในระยะแรกอาจารย์จะรับซื้อข้าวจากชาวนาในราคา 17,000 บาทต่อตัน จากที่ขายได้ 12,000-13,000 บาทต่อตัน เนื่องจากการเริ่มต้นยังต้องใช้ต้นทุนสูง ทั้งการออกบูธ การขนส่งต่างๆ ส่วนปัญหาที่พบคือช่วงเริ่มต้น เกษตรกรยังไม่ค่อยมั่นใจในการเปลี่ยนตนเองสู่อินทรีย์ โดยวิธีการดูแลเกษตรกรให้เป็นเกษตรอินทรีย์ด้วยการแบ่งเป็น 15-16 กลุ่ม และจะให้นักศึกษาดูแลต่อ ในการควบคุมให้การเพาะปลูกเป็นอินทรีย์ได้อย่างแท้จริงหากเกษตรกรรายใดทำผิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็จะตกไปต้องทำการแก้ไขใหม่ทั้งหมดทุกขั้นตอนกระบวนการ ส่วนประเด็นโรงสีที่อาจารย์ได้คัดเลือกให้เข้าร่วมในโครงการนั้น คัดเลือกจากแนวคิดของเจ้าของโรงสีที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรจริงๆโดยคิดต้นทุนต่ำ มีบริการเสริมในการแพ็คข้าวอินทรีย์ และสามารถนำไปติดแบรนด์ของตนเองได้เลย และโรงสีต้องคืนข้าวทั้งหมดแก่เกษตรกรที่อยู่ในโครงการ หากเกษตรกรในจังหวัดใดต้องการองค์ความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์สามารถติดต่อได้ที่ 084-123-2268
คุณนิศารัตน์ สืบสาย ตัวแทนเกษตรกรข้าวอินทรีย์ จ.พัทลุง เผยว่า ตนเองได้ออกจากงานประจำและหันมาปลูกข้าวสังข์หยดอินทรีย์ เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ข้าวสังข์หยดอินทรีย์ของตนเองมีมูลค่าเพิ่มและมีตลาดรองรับ ทำให้หันมาช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ของตนเองให้สามารถยืนในจุดที่ตนเองยืนได้ จึงได้ร่วมมือกับดร.อนิศรา เพ็ญสุข ติ๊บแก้ว ด้วยการนำประสบการณ์ของตนเองเผยแพร่แก่เกษตรกร โดยจะมีอาจารย์ดูแลเรื่องการทำการตลาดให้ นี่จึงเป็นแรงจูงใจให้แก่เกษตรกรสนใจที่จะปรับเปลี่ยนนาเคมีสู่นาอินทรีย์จริงๆ ทั้งนี้ การเริ่มต้นการทำอินทรีย์อันดับแรกคือการปรับปรุงคุณภาพดิน ด้วยการปลูกหญ้าเนเปียหลังการเก็บเกี่ยวข้าวสังข์หยดนาปี และนำไส้เดือนมาเป็นตัวช่วย รวมถึงยังมีการนำมูลวัว และอินทรีย์วัตถุ เช่น แกลบ ตอซัง ใบไม้ มาใช้ในการปรับปรุงดิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้นทุนต่ำมากๆ และแนะนำให้เกษตรกรที่อยากปรับตนเองสู่อินทรีย์ต้องใช้ความอดทน เนื่องจากระยะเวลาการปรับต้องใช้เวลาอย่างต่ำคือ 3 ปี
คุณโกศล เดชสง เจ้าของโรงสีโกศลธัญญกิจ จ.พัทลุง เผยว่า ปลื้มใจที่ได้เข้าร่วมโครงการกับดร.อนิศรา เพ็ญสุข ติ๊บแก้ว ในช่วงท้ายปี 59 ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวสังข์หยดพัทลุงและเป็นอินทรีย์ได้ประโยชน์สูงสุดในขั้นตอนการสีข้าว ทั้งเครื่องชั่งน้ำหนัก เครื่องอบข้าวที่มูลค่าสูงมาก เครื่องวัดความชื้น และเครื่องยิงสี (คัดแยกข้าวแต่ละสีให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน) โดยแต่ละเครื่องจะยังคงทำหน้าที่เกษตรอินทรีย์คือ แยกการทำงานของเครื่องจักรจากการสีข้าวทั่วไป โดยคิดค่าบริการถูกมาก เริ่มที่ 0.50-1.50 บาท/ กิโลกรัม ซึ่งที่ผ่านมาโรงสีโกศลธัญญกิจได้ทำประโยชน์แก่เกษตรกรในพื้นที่จนได้รับรางวัลโรงสีที่มีธรรมาภิบาลจากกระทรวงพาณิชย์