อุตสาหกรรมแฟชั่นมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างยิ่ง ด้วยมูลค่าการค้าทั้งภายในและส่งออกมากกว่า 6 แสนล้านบาทต่อปี ก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 2.5 ล้านคน รวมถึงมีกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ “เอสเอ็มอี” อยู่ในอุตสาหกรรมนี้จำนวนมาก ซึ่งนับเป็นรากฐานของเศรษฐกิจที่หากเอสเอ็มอีเข้มแข้ง เศรษฐกิจไทยย่อมเติบโตและเข้มแข็งเช่นกัน
จากความสำคัญดังกล่าว กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดกิจกรรมพัฒนารูปแบบและผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาดในกลุ่มอุตสาหกรรม หรือ ‘Fashion Next 2017’ โดยคัดเลือกเอสเอ็มอี กลุ่มธุรกิจแฟชั่นรุ่นใหม่เข้ามาพัฒนาและส่งเสริมความรู้ ให้มีศักยภาพมากกว่าเดิม สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ตรงใจผู้บริโภค ขายได้จริง และพร้อมจะก้าวสู่ตลาดระดับสากล
ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กิจกรรมดังกล่าว ตรงกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ โดย กสอ.ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จำนวน 7 ล้านบาท ภายใต้โครงการยกระดับผลิตภัณฑ์SMEsสู่ตลาดโลก หรือ Global Reach เริ่มดำเนินกิจกรรมตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว (2559) โดยมี “สถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์” เป็นที่ปรึกษาของกิจกรรม เบื้องต้นเปิดอบรมเชิงกว้างให้เอสเอ็มอีที่สนใจมาสมัครร่วมกิจกรรม ซึ่งมีผู้สนใจกว่า 600 ราย ผ่านคัดเลือกรอบแรกเหลือประมาณ 250 ราย และผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ระดับหัวกะทิ จำนวน 33 ราย
“จุดเด่นของ Fashion Next 2017 คือ การอบรมแบบเข้มข้นและเจาะลึกแบบตัวต่อตัว ให้ความรู้ในอุตสาหกรรมแฟชั่นทุกด้านครบวงจร จากวิทยากรที่ล้วนเป็นบุคลากรในวงการแฟชั่นที่มีชื่อเสียง ผ่านความสำเร็จในระดับสากลมาแล้ว สามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จริงได้อย่างถ่องแท้ ทั้งการออกแบบ ผลิต บริหารธุรกิจ และการตลาด รวมถึง ให้ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค ตลอดจนเทรนด์แฟชั่นของโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อให้รูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างแท้จริง” อธิบดี กสอ. เผย
หลังผ่านการอบรมเชิงลึกมากว่า 5 เดือนแล้ว ได้นำทั้ง 33 ราย มาจัดแสดงผลงานและจำหน่ายสินค้า ณ ศูนย์การค้า ดิเอ็มควอเทียร์ เพื่อเป็นสนามทดสอบตลาด ให้นักออกแบบได้พบกับผู้บริโภคโดยตรง สามารถนำคำติชมกลับไปปรุงปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจตลาดมากยิ่งขึ้นไปอีก
“กิจกรรมนี้ ต้องการให้ผู้เข้าร่วมอบรม เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ก้าวไปสู่เวทีแฟชั่นระดับสากลได้จริงๆ โดยวางเป้าว่า ในระยะเวลา 1 ปี หลังจากผ่านอบรมไปแล้ว ทุกรายจะต้องมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้ผู้ประกอบการแฟชั่นรายอื่นๆ ได้เห็นและเชื่อมั่นว่า การพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยมุ่งให้ตรงใจตลาดเป็นอันดับแรก จะก่อให้เกิดความสำเร็จอย่างแท้จริง” ดร.พสุ ระบุ
ด้านนางสาลินี วังตาล ผู้อำนวยการ สสว. เผยว่า โดยพื้นฐานแล้ว นักออกแบบแฟชั่นไทยมีความสามารถเชิงออกแบบและผลิตสูงเป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การจะพาแฟชั่นไทยไปสู่ตลาดโลกได้จริง ลำพังเพียงแค่ผลิตสวยอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ ต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย เช่น การวางแผนการตลาด การบริหารจัดการธุรกิจ ฯลฯ ดังนั้น กิจกรรม Fashion Next 2017 จึงเป็นตัวช่วยสำคัญ ที่จะพัฒนาเอสเอ็มอีในอุตสาหกรรมนี้ ให้มีศักยภาพพร้อมทำตลาดได้ในต่างประเทศ
“การจะก้าวไปสู่ตลาดโลกได้นั้น ผู้ประกอบการต้องเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค มีระบบบริหารจัดการที่ดี เช่น มีแผนรักษาช่างฝีมือ ควบคุมต้นทุนให้เหมาะสม ฯลฯ รวมถึง คาดการณ์เทรนด์แฟชั่นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างแม่นยำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ยากที่ผู้ประกอบการจะทำได้ด้วยตัวเอง แต่เมื่อมาร่วมกิจกรรม Fashion Next 2017 ช่วยให้มีทีมที่ปรึกษามืออาชีพ ดูแลอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเป้าหมายเพื่อการส่งออก” ผอ.สสว. กล่าว
นางสาวโศธิดา โชติวิจิตร เจ้าของเสื้อผ้าสตรี แบรนด์ “SOTHIDA” อีกหนึ่งผู้ประกอบการในกิจกรรม ระบุว่า ผู้เข้าอบรมจะได้รับความรู้เชิงลึกอย่างครบวงจร จากวิทยากรที่ดูแลอย่างใกล้ชิดแบบ 1 ต่อ 1 ซึ่งหาไม่ได้จากเข้าอบรมหลักสูตรอื่นๆ ทั่วไป อีกทั้ง ยังส่งเสริมต่อเนื่องถึงการทำตลาดให้สามารถขายสินค้าได้จริง นับเป็นกิจกรรมที่เติบเต็มความฝันให้นักออกแบบไทยสามารถจะแจ้งเกิดธุรกิจและเติบโตในวงการแฟชั่นโลกได้อย่างแท้จริง