Uber วิบากกรรมต่างกรณี ทั้งสหรัฐฯ และไทย


เชื่อว่าหลายคนอาจเคยใช้บริการแท็กซี่ Uber กันมาบ้างแล้ว ผู้ประกอบการในไทยเองก็เช่นกัน  ไม่มากก็น้อย ซึ่งช่วยให้อำนวยความสะดวกในการเดินทางได้ดี เพราะ Uber มีประวัติคนขับทุกคน และไม่ค่อยมีเหตุการณ์ที่จะทำให้เสียประวัติ

แต่เหตุการณ์ล่าสุด พบว่า เกิดเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อ Uber อย่างมาก ไม่ใช่ในไทย แต่เป็นที่สหรัฐฯ

เรื่องมีอยู่ว่า คนขับแท็กซี่ Uber ที่นครนิวยอร์ก ต่างพากันออกมาประท้วงนโยบายของทรัมพ์เรื่องกีดกันผู้อพยพชาวมุสลิม  เพราะที่นครนิวยอร์ก ผู้อพยพชาวมุสลิมเข้ามาทำมาหากินที่นั่นล้วนแล้วแต่ทำอาชีพขับแท็กซี่กันเป็นจำนวนมาก นโยบายทรัมพ์ข้อนี้จึงส่งผลกระทบต่อพวกเขาโดยตรง จึงพากันออกมาประท้วง ซึ่งการประท้วงนี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และรายได้บริษัทในปี 2017 เลยทีเดียว

แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในปี 2016  คุณรู้ไหมว่า Uber มีรายได้ 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าสองเท่าจากปี 2015 จากตัวเลขทางการเงินที่ Uber ได้แจ้งต่อ Bloomberg เป็นรายได้สุทธิ

Momo Zhou ทีมประชาสัมพันธ์ของ Uber  เล่าให้ฟังว่า สาเหตุที่ในปี 2016 Uber มีรายได้เติบโตอย่างรวดเร็วนั้น แต่ต้องแลกกับการทุ่มลงทุนมากถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

ในทางกลับกัน  เมื่อปี 2015 เดียวกันนั้น  คุณเชื่อหรือไม่ว่า Uber ในจีนประสบวิกฤติ ไม่ได้รับความนิยมจากผู้โดยสาร ทำให้สูญเสียรายได้ไปมากถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ต่อมาก็ขายกิจการให้กับคู่แข่งอย่าง Didi Chuxing ในเดือนสิงหาคมได้

แต่สำหรับในปี 2016 Uber ที่สหรัฐฯ กลับทำรายได้มหาศาลให้บริษัท  “เราโชคดีที่ธุรกิจมีความแข็งแกร่งและเติบโต ทำให้เรามีความต้องการในการจัดการและรับผิดชอบต่อผู้โดยสาร   ต่อความสัมพันธ์ของบริษัทกับคนขับรถ Uber ที่เป็นสมาชิกของเรา” Rachel Holt ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคของ Uber ในสหรัฐฯ และแคนาดา กล่าวขึ้น

ต่อมาเมื่อปี 2017 ผู้ขับแท็กซี่ Uber ที่นครนิวยอร์กออกมาประท้วงนโยบายกีดกันมุสลิมของทรัมพ์ ผู้โดยสารที่ใช้สังคมออนไลน์จึงพากันบอยคอต Uber โดยการติดแฮชแท็กซ่า #DeleteUber กันเลยทีเดียว นี่แหละจึงส่งผลกระทบต่อรายได้ของ Uber

ทีนี้ผู้บริหาร Uber ต้องการเร่งแก้ภาพลักษณ์นี้ ด้วยการเปิดเผยนโยบายทางการเงินว่า บริษัทยังศักยภาพทางการเงิน เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้โดยสาร นักลงทุน และประชาชนทั่วไป ทั้งที่ความจริงแล้ว Uber ก็เหมือนกับบริษัทเอกชนรายอื่นที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินให้สาธารณะรู้ก็ได้

ส่วน Uber ในไทยยังไม่พบว่าออกมาประท้วงอย่างที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ มีเพียงแต่การให้บริการของ Uber ยังผิดกฎหมาย  เพราะไทยยังไม่มีกฎหมายที่เข้ามารองรับรูปแบบการให้บริการของ Uber

ปัญหานี้ผู้ประกอบการในไทย หรือ SME คงรู้กันดี ต้องรอให้มีการศึกษากฎหมายนี้กันอย่างละเอียด จากนั้นออกมาตรการกำกับ และนำมาใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งต้องรอกันต่อไป

………………………………….

ชายเล็ก บดินทร์ Source : AEC NEWS