คุณสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยในรายการตอบโจทย์SME ว่า พรบ.สรรพสามิตฉบับใหม่นี้ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ก.ย.60 เนื่องจากกฎหมายสรรพสามิตฉบับเก่านั้นไทยใช้มาอย่างยาวนาน ซึ่งสาระสำคัญคือต้องการทำให้พ.ร.บ.ฉบับนี้โปร่งใส มีความเป็นสากล ปรับปรุงกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ ลดการใช้ดุลยพินิจ สุดท้ายแล้วคือเพื่อประสิทธิภาพการทำงานให้แก่พี่น้องประชาชน โดยพ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้ได้ขมวดช่วงสุดท้ายไว้ว่าต้องไม่เป็นการเพิ่มภาระค่าภาษีให้แก่ประชาชน โดยเมื่อกฎหมายฉบับนี้บังคับจะใช้ราคา จากฐาน “ราคาขายปลีกแนะนำ” โดยสินค้าที่ผลิตในประเทศกรมจะใช้ราคาหน้าโรงงานเป็นฐานในการคำนวณ ส่วนสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะใช้ราคาขายส่งช่วงสุดท้ายในการคำนวณ และสินค้านำเข้าจะใช้ราคา CIF ในการคำนวณ ซึ่งมีความได้เปรียบเสียเปรียบกันอยู่ จึงปรับมาเป็นการคำนวณจากฐานราคาขายปลีกแนะนำแทน เพื่อลดความได้เปรียบเสียเปรียบและตรวจสอบได้ว่าสินค้าขายปลีกแต่ละอย่างควรขายในราคาเท่าไหร่ในทางปฏิบัติ ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก ครม. ที่จะอยู่ในกฎหมายลูก 80 ฉบับที่กำลังจะตามมา
ส่วนเพดานภาษีที่ได้มีการปรับและเป็นกระแสข่าวอยู่นั้นเป็นเพื่อการรองรับกับ 20 ปีข้างหน้าและการแก้ไขกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่าย จึงเห็นสมควรว่าการปรับครั้งนี้จึงควรปรับเพดานการจัดเก็บเพดานภาษีสูงสุดไปด้วย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจะแบ่งการจัดเก็บภาษีแบ่งเป็น 2 ทาง คือ 1.ตัวสินค้า แบ่งเป็นมูลค่า โดยจะเก็บเป็นเปอร์เซ็นต์ และปริมาณ คือต่อลิตร ต่อคัน ต่อแท่ง แต่เพื่อให้ง่ายต่อการจัดเก็บในทางปฏิบัติจัดเก็บจึงให้มูลค่าเป็นศูนย์ 2.ด้านบริการ โดยเดิมทีจัดเก็บเป็นมูลค่า คือ เปอร์เซ็นต์ แต่ในอนาคตอาจจะเพิ่มปริมาณ คือ ต่อรอบ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในอนาคต
ปัจจุบันนี้ บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้อยู่ในพิกัดของพ.ร.บ.ยาสูบฉบับเก่า แต่ในกฎหมายฉบับใหม่นี้ จะเพิ่มเขาสู่ พ.ร.บ.ใหม่นี้ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ก.ย.60 นี้ โดยกรมสรรพสามิตจะเข้ามามีบทบาทในการควบคุม มีบทลงโทษทั้งจำทั้งปรับ และกรมสามารถเข้าดำเนินการตรวจสอบจับกุมได้เลย ซึ่งปัจจุบันนี้ยังคงเป็นหน้าที่ของกรมศุลกากรอยู่ ส่วนเรื่องของน้ำมันเครื่องต่างๆนั้น หากผู้ประกอบการสามารถนำน้ำมันเก่ามาปรับปรุงให้สามารถใช้งานในด้านอื่นๆนั้น ทางกระทรวงการคลังและกรมสรรพสามิตพยายามจะแก้กฎหมายเพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ว่าจะลดภาษีอย่างไรเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม
นอกจากนี้ โครงการจัดโซนนิ่งร้านค้าที่มีแอลกอฮอล์ที่อยู่รอบรั้วมหาวิทยาลัยในช่วงปี 2558 จนถึงปัจจุบันนี้ ที่กรมสรรพสามิตได้เข้าไปมีส่วนร่วม โดยมีตัวชี้วัดคือการออกใบอนุญาตลดลงเกือบ 2 แสนราย เดิมที 6 แสนราย ทั่วประเทศ
ประเด็นของเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเกินมาตรฐานกำหนดนั้น ทางกรมได้ทำความเข้าใจเบื้องต้นกับภาคเอกชน ทั้งผู้ประกอบการอุตสาหกรรมน้ำตาล เกษตรกร ร้านค้าส่งค้าปลีก และประชาชน ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการพูดคุยเพื่อให้ได้ข้อสรุป เนื่องจากเรื่องภาษีเป็นเรื่องที่ต้องรอบคอบต้องถามคิดเห็นทุกภาคส่วน