(6 พ.ค. 60 จากรายการ คสช.) เนื้อหาสำคัญกล่าวถึงการประชุมคณะราชการบริหารแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบตามหลัก
“การปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ” โดยแก้ไขปัญหาให้นักลงทุน สร้างความสะดวกและความมั่นใจให้นักลงทุนสนใจมาลงทุนมากขึ้น สอดคล้องกับดัชนีที่ทำให้ประเทศไทยอยู่ในสายตานักลงทุนต่างชาติในทุกมิติ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจมาแล้วหลายเรื่อง หากปลดล็อคได้เสร็จสิ้น จะเป็นพื้นฐานของการปรับระบบงาน เพื่ออำนวยความสะดวกของธุรกิจในหน่วยงานอื่นๆ แต่หากจะดำเนินการตามขั้นตอนปกติอาจต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน ซึ่งจะทำให้สูญเสียโอกาสในการสร้างงาน สร้างเงินและเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันของประเทศ จึงควรเร่งรัดกฎหมายดังกล่าวให้มีใช้ได้โดยเร็ว
ซึ่งให้ใช้คำสั่งหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติเป็นกลไกเร่งรัดการปรับปรุงกฎหมาย โดยเฉพาะในส่วนที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว โดยมีสาระสำคัญที่ประชาชนจะได้รับผลประโยชน์ดังนี้
- การแก้ไขกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
- ทำให้เกิดความสะดวก ในการจดทะเบียนนิติบุคคลสามารถจดทะเบียนนิติบุคคลที่ใดก็ได้ จากเดิมให้จดเฉพาะในที่ตั้งของสถานประกอบการเท่านั้น
- ลดภาระของประชาชน ในการติดต่อราชการโดยไม่ต้องยื่นเอกสารอันเนื่องมาจากรัฐมนตรีมีอำนาจลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนและการขอหนังสือรับรองนิติบุคคล ซึ่งจะส่งผลให้มีการยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียม การเชื่อมโยงข้อมูลนิติบุคคลระหว่างหน่วยงานภาครัฐด้วยกันเอง
- กำหนดวิธีการหาทางออก ในกรณีที่บริษัทไม่สามารถหาข้อยุติได้ ช่วยให้ธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น
- ยกเลิกการใช้ตรายางประทับในใบหุ้น เพื่อรองรับการพัฒนาการจดทะเบียนนิติบุคคลทางออนไลน์ ช่วยลดค่าใช้จ่ายและขั้นตอนการเริ่มต้นธุรกิจ
- กำหนดกรอบเวลาการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจำกัด ภายใน1เดือนนับแต่วันที่มีการประชุมใหญ่ หรือกรรมการลงมติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้น จากเดิมที่ไม่มีการกำหนดระยะเวลาแน่นอน เมื่อการดำเนินธุรกิจประสบปัญหา ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ จะเปิดช่องให้ผู้ถือหุ้นและศาลมีคำสั่งยกเลิกบริษัทได้ในกรณีที่มีเหตุผลสมควร ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการปิดกิจการ
- การแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
โดยให้ข้อบังคับมีผลใช้ทันทีเมื่อนายจ้างประกาศใช้ ณ สถานประกอบการ ไม่ต้องส่งสำเนาให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพิจารณาอีก ซึ่งจะลดระยะเวลาเริ่มต้นกิจการจากเดิมที่ต้องใช้เวลาในการพิจารณา 21 วัน
- การแก้ไข พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด
- คุ้มครองนักลงทุนรายย่อยให้มีสิทธิเรียกประชุมวิสามัญของบริษัทมหาชนได้ โดยลดสัดส่วนให้ผู้ถือหุ้นสามารถรวมตัวกันไม่น้อยกว่าร้อยละ10 สามารถเข้าชื่อกันให้มีการเรียกประชุมวิสามัญได้ (จากเดิมที่กำหนดไว้ร้อยละ 20 หรือต้องเข้าชื่อกันไม่เกิน 25 คนและมีหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 จึงจะดำเนินการได้ ) ซึ่งจะช่วยเพิ่มธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจ
- คุ้มครองนักลงทุนรายย่อยให้มีสิทธ์ในการตรวจสอบกิจการ โดยสัดส่วนของผู้ถือหุ้นคนหนึ่งหรือหลายคน ซึ่งมีหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ให้สามารถเข้าชื่อกันขอให้มีการตรวจสอบกิจการและฐานะการเงินของบริษัท ตลอดจนตรวจสอบการดำเนินงานของคณะกรรมการได้ (จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 หรือต้องเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด จึงจะดำเนินการได้) ซึ่งจะช่วยเพิ่มธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจ
- การแก้ไขปัญหา พ.ร.บ.ประกันสังคม
โดยให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมของนายจ้างได้ตามความเหมาะสมหรือจำเป็น ซึ่งจะทำให้สำนักงานประกันสังคมสามารถกำหนดมาตรการจูงใจในการขยายเวลาจ่ายเงินสมทบ ในกรณีที่นายจ้างส่งข้อมูลและจ่ายเงินทางออนไลน์
- การแก้ไข พ.ร.บ. ล้มละลาย
- กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนในการ “ห้ามไม่ให้เจ้าหนี้ มีประกันเอาสินทรัพย์ของลูกหนี้ไปขายทอดตลาด” ในอยู่ระหว่างที่การจำกัดสภาวะการพักชำระหนี้ หรือการฟื้นฟูกิจการทำให้เจ้าหนี้มีประกัน สามารถบังคับเอากับหลักประกันได้ในกรอบเวลาที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการบริหารการปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกัน และมีความคล่องตัวสูงขึ้น
- กรณีทรัพย์สินที่หลักประกันเป็นเงินสดสามารถเน่าเสียได้ หรือกรณีที่มีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาเกินกว่ามูลค่าของทรัพย์สิน “ต้องกำหนดเวลาที่ชัดเจนเพื่อให้เจ้าหนี้เอาทรัพย์สินออกไปได้” ซึ่งจะช่วยให้มีการใช้ประโยชน์กับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ไม่ให้ทรัพย์สินสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์
- ในการประชุมเพื่อขอมติยอมรับแผนการฟื้นฟูกิจการ กำหนดให้เจ้าหนี้ที่ไม่ได้รับผลกระทบ หรือไม่ได้รับการคุ้มครองเยียวยาแล้ว “ไม่มีสิทธิออกเสียงในการโหวตแผนการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้” ซึ่งจะช่วยให้เจ้าหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงมีสิทธิออกเสียงอย่างเต็มที่
- กำหนดให้ “พนักงานพิทักษ์ทรัพย์สามารถโฆษณาคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลผ่านสื่ออิเลคทรอนิกส์ได้” ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการประกาศและการเข้าถึงข้อมูล
- “ห้ามหน่วยงานที่มีอำนาจในการอนุมัติ อนุญาตขอสำเนาเอกสารที่ทางราชการออกให้จากผู้ที่มาติดต่อ” เช่น บัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สูติบัตร หนังสือจดทะเบียนนิติบุคคล โดยกำหนดให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานในการขอข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง ที่ออกเอกสารราชการดังกล่าวเอง เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับประชาชน ในกรณีที่หน่วยงานใดต้องการสำเนาเอกสารจากผู้ที่มาติดต่อ ต้องจัดทำเอกสารดังกล่าวเอง โดยไม่ให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจัดทำสำเนานั้น