Vegan (วีแกน) คือกลุ่มชนที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ นอกจากจะเลือกรับประทานเฉพาะพืชผักผลไม้แล้ว ยังไม่รับประทานอาหารที่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการงดนม เนย เนยแข็ง ไข่ น้ำผึ้ง รวมทั้งยีสต์และเจลาติน ซึ่งบางคนอาจรวมไปถึงเครื่องมือเครื่องใช้ที่ไม่ใช่อาหารอีกด้วย เช่นการไม่สวมใส่เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ตลอดจนการใช้เครื่องสำอางและเครื่องประทินกายที่ทำจากสัตว์ ซึ่งครอบคลุมไปถึงหนัง รังไหมหรือสินค้าที่เกิดจากการทดลองจากสัตว์อีกด้วย ซึ่งจัดเป็นมังสวิรัติอีกประเภท แต่มีความเข้มงวดกว่าการรับประทานมังสวิรัติแบบเจ (vegetarian)
ข้อมูลจากงานแสดงสินค้า Vivaness ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ไม่ใช่อาหาร และจัดคู่ขนานกับงานแสดงสินค้า BIOFACH 2017 ณ เมืองนูเรมเบิร์ก ได้รายงานว่าภายในงาน Vivaness 2017 มีผู้นำสินค้าเครื่องสำอางแบบ “วีแกน” มาแสดงมากกว่า 100 ชนิด จาก 260 คูหา ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับ 4 ปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นว่าเยอรมันมีแนวโน้มกำลังให้ความสนใจเครื่องสำอางจากธรรมชาติเพิ่มขึ้น
นาย Harald Dittmar ผู้บริหารสมาคมเครื่องสำอางของเยอรมัน (BDIH- Bundesverband der Industrie- und Handelsunternehmen) และเป็นองค์กรในการออกตรารับรองเครื่องสำอางจากธรรมชาติ กล่าวว่า เนื่องจากมี “กลุ่มวีแกน” เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันมาผลิต “สินค้าวีแกน” มากขึ้นตามกันมา ซึ่งสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมาก นอกจาก “ชาววีแกน” จะเคร่งครัดในการรับประทานแต่อาหารที่ไม่เบียดเบียนสัตว์แล้ว “ชาววีแกน” ยังนิยมซื้อสินค้าวีแกนกลุ่มอื่น เช่น เสื้อผ้า รองเท้าและเครื่องสำอาง ซึ่งแนวโน้มนี้มีได้เริ่มมาระยะหนึ่งแล้วและกำลังขยายตัวอย่างมาก

ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ประทินกายที่ชาวเยอรมันนิยมใช้ ไม่ว่าจะเป็น แชมพู ครีม ผลิตภัณฑ์ล้างทำความสะอาดหน้าและเครื่องสำอางแต่งหน้า จึงหันมาปรับตัวเป็น “วีแกน” หลายๆบริษัท
นาง Silva Imken โฆษกของบริษัท Börlind aus Calw nahe Stuttgart ให้สัมภาษณ์ว่า “เครื่องสำอางแบบวีแกน” ยังคงเป็นหัวข้อที่คนเยอรมันให้ความสนใจ ผู้บริโภคส่วนใหญ่อาจคิดว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากธรรมชาตินั้นเป็น “วีแกน” จึงได้ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าเหล่านั้น แต่ในความเป็นจริงเครื่องสำอางจากธรรมชาติบางอย่างจะมีส่วนผสมของ ขี้ผึ้ง นม และน้ำผึ้ง ทำให้ไม่เป็น “วีแกน” ดังนั้นเครื่องสำอางธรรมชาติทั้งหมดจึงไม่จัดว่าเป็น “เครื่องสำอางวีแกน” และนี่จึงเป็นโจทย์ที่สำคัญของผู้ผลิตว่าจะหาสิ่งใดมาทดแทน ขี้ผึ้ง นม น้ำผึ้งหรือส่วนผสมที่มาจากสัตว์เหล่านี้ นั่นเพราะผลิตภัณฑ์บางชนิดจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ขี้ผึ้ง เช่น ลิปสติก
นาย Elfriede Dambacher ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องสำอาง กล่าวว่า ร้อยละ 60-80 ของเครื่องสำอางธรรมชาติเป็นแบบ “วีแกน” ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องที่ยากหากจะปรับเครื่องสำอางจากธรรมชาติให้เป็นแบบ “วีแกน” บริษัทเครื่องสำอางจากธรรมชาติ Lavara เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางจากธรรมชาติก็ได้ปรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางธรรมชาติให้เป็นแบบ “วีแกน” เพิ่มมากขึ้น โดยขณะนี้ทาง Lavara ผลิตภัณฑ์ที่เป็นวีแกน ถึงร้อยละ 95 ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรเครื่องสำอาง “วีแกน” ก็ยังถือเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะ (Niche Products) แม้จะมีห้างร้านได้วางจำหน่ายสินค้าเครื่องสำอางแบบ “วีแกน” โดยเฉพาะและผู้คนหันมาให้ความสนใจ แต่ก็ยังมีขนาดเล็กอยู่ นอกจากนี้เครื่องสำอางจากธรรมชาติยังเป็นที่นิยมมากในประเทศเยอรมนีโดยสามารถทำรายได้ในปีที่ผ่านมามากกว่า หนึ่งพันล้านยูโร
ตลาดเยอรมันเป็นตลาดที่มีผู้บริโภคให้ความใส่ใจและห่วงใยสุขภาพกันมาก จากผลสำรวจพบว่าชาวเยอรมันเริ่มหันมานิยมผลิตภัณฑ์ที่ไม่เบียดเบียนสัตว์และผลิตภัณฑ์ธรรมชาติพร้อมทั้งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น เน้นการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและสามารถลดน้าหนัก รวมทั้งสินค้าอุปโภคอื่นๆก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น จึงทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์ “วีแกน” ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอาหาร เครื่องสำอาง เครื่องประทิน ซึ่งก่อนหน้านี้ชาวเยอรมันนิยมใช้เครื่องสำอางจากธรรมชาติมาระยะหนึ่ง และเนื่องจากความหลากหลายของทางผลิตภัณฑ์ รวมทั้งช่องทางการจำหน่ายที่สามารถเลือกซื้อได้ทั่วไปทั้งในห้างร้านใกล้บ้าน จึงทำให้มีผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย
ตัวอย่างเครื่องสำอางวีแกนในประเทศเยอรมนี

