“กฎหมายขยะพลาสติก” โจทย์ใหม่ของผู้ผลิตในฝรั่งเศส


ในแต่ละปีประเทศฝรั่งเศสมีการใช้พลาสติกแล้วทิ้งนับพันล้านใบ หากคิดเฉพาะแก้วที่ใช้แล้วทิ้งในแต่ละปีก็จะมียอดรวมถึง 4.73 พันล้านใบ หรือ 150 ใบต่อวินาที ซึ่งมีแก้วพลาสติกเพียง 1% เท่านั้นที่ได้รับการรีไซเคิล และเนื่องจากแก้วใช้แล้วทิ้งส่วนใหญ่ผสมมาจากวัสดุหลายชนิดจึงรีไซเคิลได้ยาก ส่งผลให้เมื่อกลางปี 2016 ฝรั่งเศสได้บังคับใช้รัฐบัญญัติเกี่ยวกับการห้ามใช้และจำหน่ายภาชนะพลาสติก ซึ่งอยู่ในกฎหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน (ที่ตราขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2015  โดยจะบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2020)

โดยห้างร้านต่าง ๆ จะไม่สามารถใช้และจำหน่ายภาชนะพลาสติกได้ ยกเว้นเสียแต่ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะย่อยสลายด้วยกระบวนการในระดับครัวเรือน ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์จะต้องใช้วัสดุที่มาจากอินทรียวัตถุ (เช่น ไผ่ หรือ ใยข้าวโพด) อย่างน้อย 50% (ปริมาณขั้นต่ำในปี 2020 ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 60% ในปี 2025)

ข้อบังคับนี้สร้างปัญหาให้กับหลายภาคส่วน เช่น ผู้ประกอบการเครื่องจำหน่ายเครื่องดื่ม ไปจนถึงสถานพยาบาลที่ใช้ภาชนะใช้แล้วทิ้งเพื่อป้องกันการติดเชื้อ รวมทั้งเรือนจำที่ใช้ภาชนะพลาสติกเนื่องจากใช้เป็นอาวุธไม่ได้ ซึ่งในความเป็นจริงผู้ผลิตต่างเห็นด้วยกับการยกเลิกการใช้ถุงพลาสติกใส่ของกลับบ้าน หรือถุงสำหรับใส่ผักผลไม้ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่ได้บังคับใช้ในช่วงแรกเมื่อต้นปี 2017 นั่นเพราะถุงพลาสติกมีลักษณะบางและสามารถหาวัสดุทดแทนได้ง่าย

สำหรับภาชนะพลาสติกที่จะต้องมีความแข็งแรงเพียงพอเพื่อให้คงรูปและสามารถใส่อาหารและเครื่องดื่มได้นั้น การหาวัสดุทดแทนยังเป็นไปอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะเมื่อผลิตภัณฑ์ยังจะต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดของรัฐบัญญัติโดยเฉพาะในเรื่องการย่อยสลายด้วยกระบวนการในระดับครัวเรือน นอกจากนี้แล้วการหันไปใช้ภาชนะกระดาษแทน ก็อาจเสี่ยงที่จะทำลายอุตสาหกรรมการผลิตภาชนะใช้แล้วทิ้งในฝรั่งเศส ซึ่งผู้ผลิตส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่จ้างงานรวม 650 อัตรา และอาจจะต้องหันไปนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากตุรกีหรือเอเชีย

“ด้วยเป้าหมายเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชากร จึงกลายเป็นโจทย์ที่ผู้ผลิตจะต้องแก้ไข ด้วยการพัฒนา ประดิษฐ์ และคิดค้นวัสดุทดแทนใหม่ ๆขึ้นมาทดแทน