“อุตตม” เปิด “คลินิกเอสเอ็มอีสัญจรแนวประชารัฐ” ในพื้นที่ จ.ชลบุรี ปลุกเอสเอ็มอีเร่งปรับตัวคว้าโอกาสลงทุนระลอกใหม่ใน EEC ระบุภาครัฐอัดเงินกู้พิเศษหนุนรวมกว่า 3.8 หมื่นล้านบาท จาก 3 กองทุนหลัก แจงอนุมัติแล้ว 12,251ราย วงเงิน 4,257 ล้านบาท แย้มหากwได้สำเร็จดีเตรียมจัดเป็นงบสนับสนุนถาวร
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการรกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเผยภายหลังเปิดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “คลินิกเอสเอ็มอีสัญจรแนวประชารัฐ” ณ โรงแรมบางแสน เฮริเทจ จังหวัดชลบุรี ว่า พื้นที่ จ.ชลบุรีเป็น 1 ใน 3 จังหวัดที่อยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC ) ที่ประกอบด้วยระยอง ชลบุรีและฉะเชิงเทรา จึงเป็นพื้นที่เป้าหมายของการลงทุนขนาดใหญ่ที่มุ่งเน้น 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ดังนั้น เอสเอ็มอีต้องใช้โอกาสสร้างความเข้มแข็งทางธุรกิจ เพื่อจะสนับสนุนอุตสาหกรรมทั้งเก่าและใหม่ในพื้นที่ดังกล่าวให้ก้าวไปสู่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยภายใต้โมเดลไทยแลนด์ 4.0 โดย EEC จะทำให้เกิดการลงทุนระลอกใหม่เข้ามาอีกครั้ง ดังนั้น เอสเอ็มอีจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน เพราะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนของอุตสาหกรรมเป้าหมาย
สำหรับคลินิกเอสเอ็มอีสัญจรแนวประชารัฐ จ.ชลบุรี จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 เพื่อบูรณาการทำงานกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และหน่วยงานเครือข่ายให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนและองค์ความรู้เพื่อยกระดับไปสู่ Smart SMEs ซึ่งมีผู้ประกอบการเข้าร่วมสัมมนาถึง 800 คนโดยมุ่งที่จะให้เอสเอ็มอีในพื้นที่จ.ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง และสมุทรปราการ ให้เข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐ
ทั้งนี้แหล่งเงินทุนที่รัฐพร้อมให้การช่วยเหลือ มี 3 กองทุนหลัก ได้แก่ 1.กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐวงเงิน 20,000 ล้านบาท 2. โครงการสินเชื่อSMEs Transformation Loan วงเงิน 15,000 ล้านบาท 3. เงินทุนที่บริหารโดย สสว. ได้แก่ โครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อมวงเงิน 1,000 ล้านบาท โครงการฟื้นฟูวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมวงเงิน 2,000 ล้านบาท และโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อ Micro SMEs 200,000 บาท
นายอุตตม เผยด้วยว่า ขณะนี้มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งประเทศยื่นคำขอสนับสนุนที่ได้มีการพิจารณาแล้วในแหล่งเงินทุนดังกล่าวข้างต้นกว่า 8,136 รายแหล่งวงเงิน 19,769 ล้านบาทและได้อนุมัติให้การช่วยเหลือไปแล้ว 12,251รายวงเงิน 4,257 ล้านบาท ซึ่งหากพบว่าประสบความสำเร็จจากครั้งนี้ พร้อมที่จะเสนอรัฐบาลในการหาเงินสนับสนุนเพิ่มขึ้นที่เป็นการถาวรต่อเนื่อง