เปิดเวทีแนะโอกาสเอสเอ็มอีไทยบุกตลาดกัมพูชา และเวียดนาม ธพว.ยันพร้อมสนับสนุนด้านการเงินควบคู่เติมความรู้ ด้าน ปธ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ แนะเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนออกลุย ขณะที่เซียนเวียดนามเตือนระวังขายสินค้าแต่เก็บเงินไม่ได้ ขณะที่กูรูกัมพูชาชี้กลุ่มค้าปลีกโอกาสสดใส
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว.) กล่าวในการเป็นประธานเปิดงานสัมมนา“เปิดขุมทรัพย์จับตลาด กัมพูชา – เวียดนาม” ว่า ตลาด CLMV โดยเฉพาะเวียดนาม และกัมพูชา เป็นตลาดใหม่ที่มีความน่าสนใจอย่างมากสำหรับเอสเอ็มอีไทย เนื่องจากทั้งสองชาติมีอัตรการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมาก และยังชื่นชอบสินค้าจากประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม การจะประสบความสำเร็จได้ จำเป็นที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องมีความรู้และความพร้อม เช่น การทำสินค้าอย่างไรให้ถูกใจตลาดท้องถิ่น การพัฒนาสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงมีเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอ ดังนั้น ทางธนาคารจึงได้จัดงานสัมมนาพัฒนาความรู้ รวมถึง พร้อมสนับสนุนด้านเงินทุนผ่านโครงการสินเชื่อพิเศษต่างๆ มุ่งหวังจะส่งเสริมและผลักดันให้เอสเอ็มอีไทยสามารถจะขยายตลาดไปสู่กลุ่ม CLMVได้มากยิ่งขึ้น
ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด(มหาชน) วิทยากรบรรยาย ในหัวข้อ “การค้าการขายอย่างไรให้โดนใจผู้บริโภค กลยุทธ์เด็ดชิงส่วนแบ่งจากเจ้าตลาดเดิม” ว่า ประเทศเวียดนามนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย ปีละกว่า 6.5 พันล้านเหรียญต่อปี ส่วนไทยนำเข้าสินค้าเวียดนาม ปีละกว่า 4.5 พันล้านเหรียญต่อปี ด้านประเทศกัมพูชานำเข้าสินค้าจากประเทศไทย ปีละกว่า 4.6พันล้านเหรียญต่อปี ส่วนไทยนำเข้าสินค้ากัมพูชา ปีละกว่า 9 ล้านเหรียญต่อปี ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศดังกล่าว จึงเป็นโอกาสสำคัญในการขยายการค้าการลงทุนระหว่าง
ทั้งนี้ เหตุผลที่สินค้าไทยมีโอกาสอย่างสูงในตลาดทั้งสองชาติ ได้แก่ ชาวเวียดนามและกัมพูชา ชื่นชอบสินค้าจากประเทศไทยมาก รวมถึง รับวัฒนธรรมจากประเทศไทย ผ่านการดูรายการโทรทัศน์ของประเทศไทย นอกจากนั้น แบรนด์ไทยยังรับการยอมรับด้านคุณภาพและภาพลักษณ์ที่ดี อีกทั้ง รัฐบาลไทยยังมีนโยบายชัดเจนในการผูกสัมพันธ์อันดีเพื่อขยายการค้าการลงทุนกับประเทศกลุ่มCLMV
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เอสเอ็มอีไทยจะไปทำการค้าหรือลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ควรต้องวิเคราะห์เสียก่อนว่า จะไปเพื่อวัตถุประสงค์ใด เช่น ทำสินค้าเพื่อขายคนท้องถิ่น หรือไปใช้แรงงานเป็นฐานเพื่อส่งออกไปประเทศอื่นๆ เนื่องจากการวางแผนที่ดีจะช่วยให้ลดความเสี่ยงในการล้มเหลว โดยเอสเอ็มอีไทยควรต้องเตรียมพร้อม ทั้งด้านบุคลากร การบริหารจัดการ การเงิน รวมถึง หาพันธมิตรที่ดีในท้องถิ่น
ด้านนายราเกส ซิงห์ เลขาธิการสภาธุรกิจไทย – เวียดนาม เผยว่า ประเทศเวียดนาม ยังมีความต้องการสินค้าแทบทุกประเภท โดยในช่วง 5-7 ปีที่ผ่านมา เวียดนามมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก เฉลี่ย GDPโตปีละ 6-8% รวมถึงมีอัตรานักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนเพิ่มปีละกว่า 20%
ทั้งนี้ สินค้าที่เป็นดาวเด่นในตลาดเวียดนาม ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่ม ชิ้นส่วนยานยนต์ และวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ส่วนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของตลาดเวียดนาม ควรมุ่งไปที่วัยรุ่น หรือคนรุ่นใหม่ เพราะหนุ่มสาวเวียดนามมีความต้องการอยากจะทดลองใช้สินค้าใหม่ๆ ตามแฟชั่น อีกทั้ง ตัดสินใจซื้อง่าย และปัจจุบันมีความรู้สูงขึ้น เลือกสินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตของการทำการค้ากับตลาดเวียดนาม หากเป็นกลุ่มเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายควรเน้นทำเป็นขนาดเล็กถึงกลาง เพราะโดยรวมแล้ว ชาวเวียดนามมีรูปร่างค่อนข้างเล็ก และสินค้าต้องมีฉลากภาษาเวียดนาม ที่สำคัญ ต้องละเอียดรอบคอบด้านการชำระเงิน เพราะผู้ประกอบการไทยหลายรายเจอปัญหา ขายสินค้าไปแล้วไม่สามารถเก็บเงินได้
ด้านนายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข เลขาธิการสภาธุรกิจไทย – กัมพูชา กล่าวว่า ตลาดกัมพูชากลุ่มค้าปลีกมีความน่าสนใจมาก จากอัตราการเติบโตต่อปีถึง 11% รวมถึงธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว รวมถึงเครื่องมือเกษตรต่างๆ นอกจากนั้น สินค้ากลุ่มความสวยความงามและเครื่องสำอางต่างๆ หากใช้นักแสดงไทย ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวกัมพูชามาเป็นพรีเซ็นเตอร์โอกาสจะประสบความสำเร็จมีสูง เพราะชาวกัมพูชาได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากรายการบันเทิงของไทยสูงมาก