คุณสมคิด สมศรี อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เผยในรายการตอบโจทย์ SME ว่า
กรมกิจการผู้สูงอายุคือกรมประชาสงเคราะห์เก่า ที่มีบทบาทแยกหน้าที่ดูแลเฉพาะกลุ่ม จนมาสู่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เมื่อปี 2545 ซึ่งในปีนั้น เริ่มมีแผนผู้สูงอายุแห่งชาติที่ครอบคลุมถึงปี 2564 (แผน20ปี) ซึ่งปัจจุบันยังใช้อยู่ และเมื่อปี 2546 กระทรวง พม.ได้จัดสร้างกองทุนผู้สูงอายุขึ้นมา เมื่อเข้าสู่ปี 2558 จึงได้จัดสร้างกรมกิจการผู้สูงอายุแบบเต็มตัวเพื่อเคลื่อนงานผู้สูงอายุให้ สะดวก และรวดเร็ว ส่วนการเคลื่อนงานนั้นจะทำงานแบบบูรณาการกับหลากหลายกระทรวง ซึ่งล่าสุดได้เซ็น MOU ครั้งแรก มีทั้ง 18 องค์กร เช่น สสส. , กรมการจัดหางาน , สภากาชาด ,กรมธนารักษ์ , สปสช. , กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น , สภาผู้สูงอายุ และกทม. เป็นต้น เพื่อให้งานเป็นรูปธรรมด้วยการทราบสภาพปัญหาความต้องการของผู้สูงอายุ โดยแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุเป็น 3 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มวัยรุ่นผู้สูงอายุ คือที่มีศักยภาพ เป็นกลุ่มที่ติดสังคม ต้องการมีงานทำ และกระตือรือร้นในการทำงาน รวมถึงกลุ่มนี้ในอนาคตจะเข้ามาทดแทนแรงงานด้วย
2.กลุ่มติดบ้าน คือกลุ่มที่ป่วยเล็กๆน้อยๆ และเป็นกลุ่มที่ภาครัฐเสียค่ารักษาพยาบาลมากมาย โดยกรมจะหากิจกรรมให้คนกลุ่มนี้ทำและให้ป่วยน้อยลง ด้วยการให้ออกไปยังโรงเรียนผู้สูงอายุ ของ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) มี 878 แห่ง ซึ่งใน 878 แห่ง มีสภาผู้สูงอายุดูแลชมรมผู้สูงอายุอีก 27,000 ชมรม โดยเมื่อกิจกรรมใดที่ต้องใช้งบก็จะมีกองทุนผู้สูงอายุคอยเกื้อหนุนต่อชมรมผู้สูงอายุแต่ละชมรม และ
3.กลุ่มติดเตียง ซึ่งมีจำนวนอยู่ 180,000 ราย ทำให้ที่ผ่านมาไทยมักจะมองแค่ว่าเรื่องสุขภาพเป็นหลัก จนลืมมองถึงเรื่องเศรษฐกิจของกลุ่มผู้สูงอายุ ทำให้เมื่อปี2559 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ออกมาตรการ 4 มาตรการเร่งด่วนที่จะทำให้ผู้สูงอายุหลังจากเกษียณตนเอง ถ้าภาครัฐ 60 ปี เอกชน 55 ปี โดยสองกลุ่มนี้สามารถที่จะทำงานได้ต่อเนื่องจนถึงอายุ 70 ปี ซึ่งนโยบายนี้ทางกระทรวงแรงงานขอความร่วมมือจากสถานประกอบการหรือSME เพื่อให้คนกลุ่มนี้ได้มีงานทำ มีเงินเดือน ไม่โดดเดี่ยว
ซึ่งกระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรจะลดหย่อนภาษีให้ SME 2 เท่า ซึ่งล่าสุดมีบริษัทเอกชนเข้าร่วม เช่น เครือเซ็นทารา บิ๊กซีซุปเปอร์เตอร์ ซีเอ็ดบุ๊ก เป็นต้น โดยปีนี้ตั้งเป้าให้เกิดการจ้างงาน 39,000 ราย แต่ล่าสุดนี้คาดว่าปีนี้จะเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ รวมถึงยังเผยสถิติว่า จากการเก็บข้อมูลพบว่าคนที่อายุ 62 เป็นช่วงที่มีการตัดสินใจที่ดีที่สุด ซึ่งจะเห็นว่า บริษัทเอกชน ที่มีผู้บริหารอายุมากแล้วนั้นจะทำหน้าที่แค่ตัดสินใจเท่านั้น และใช้เวลาในการทำงานแค่ 4 ชั่วโมงต่อวัน ปัญหาความต้องการของผู้สูงวัยคือ กลุ่มผู้สูงวัย 34.4%ต้องการมีงานทำและตกเส้นความยากจน กลุ่มที่มีศักยภาพ 46.6% คือกลุ่มวัยรุ่นผู้สูงวัยที่เกษียณจากงานและต้องการมีงานทำอย่างต่ำต่อวันคือ 4 ชั่วโมงต่อวัน และกลุ่มนี้มีความพร้อมมีความชำนาญ แค่อยากทำประโยชน์แก่สังคมเท่านั้นโดยไม่คาดหวังค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ในรายการท่านยังพูดถึงอีก 3 มาตรการ คือ เรื่องสินเชื่อของผู้สูงวัย เรื่องบ้านของสูงวัยที่ทางกรมธนารักษ์โดยการเคหะจะจัดสรรพื้นที่ 170,000หน่วย แก่ผู้สูงวัยใน10ปี และปีนี้เริ่มแล้วจำนวน 2,000 หน่วย และปี 61 การเคหะจะสร้างต้นแบบบ้านผู้สูงวัยที่คลอง 4 ปทุมธานี 200 กว่ายูนิต นอกจากนี้ ท่านนายกรัฐมนตรีให้สั่งการให้เร่งมาตรการเรื่องที่อยู่อาศัยแบบเร่งด่วน คือ เชียงใหม่ เชียงราย นครนายก (3จังหวัดนี้ของธนารักษ์ที่เตรียมจะเปิดให้ประมูล 4 แสนกว่าหน่วย) ชลบุรี ที่บางละมุง 634 ยูนิต เป็นของกรมเองและร่วมมือกับสภากาชาดที่ได้สร้างโรงพยาบาลเพื่อผู้สูงอายุเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ยังได้ให้ข้อมูลถึงการให้สินเชื่อแก่ผู้สูงอายุตามโมเดลต่างประเทศ คือวัยนี้จะมีทรัพย์สินเป็นของตนเองมาแปลงเป็นเงินใช้รายเดือนได้ โดยสามารถขอสินเชื่อประเภทนี้ได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และออมสิน ล่าสุดนี้คาดว่า ธนาคารกรุงไทยจะเข้าร่วม ส่วนการออมของผู้สูงวัยนั้น มีตัวเลขจากตลาดหลักทรัพย์ที่วิเคราะห์ไว้ให้คือ หลังอายุ 60 ปี จะใช้เงิน 4 ล้านบาท ดังนั้น ภาครัฐจึงออกนโยบายให้คนไทยหันมาออมโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และภาครัฐจะจ่ายสมทบให้ทุกคนที่ออมผ่าน กอช.