“Thailand’s big strategic Move” โดยศาสตราภิชาน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์


ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี บอกว่าได้มีโอกาสไปร่วมในงาน Nikkei forum ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโตเกียว โดยหัวข้อหลักของงานในปีนี้ คือ การมองบทบาทของเอเชียในอนาคต ตลอดช่วงเวลา 2 วันของการพูดคุย ณ เวทีแห่งนั้น  ในด้านหนึ่งได้สะท้อนถึงความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดในสภาวะความไม่แน่นอนของโลกที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่ว่าจะในด้านเศรษฐกิจหรือการเมืองอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายของผู้นำสหรัฐที่สลัดทิ้งซึ่งสิ่งที่ตนเอง คือ ผู้สร้างและเชิดชูตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา การสลัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใยต่อเขตการค้าเสรี NAFTA และ TPP ที่สหรัฐ คือ ผู้สร้างและผลักดัน การประกาศหลักการที่ยึดผลประโยชน์ของสหรัฐต้องมาก่อนประโยชน์ของชาติพันธมิตรทั้งหลายที่สหรัฐเคยให้ความเกื้อกูลอย่างตั้งใจ และล่าสุดที่ภาพแห่งการปริแยกระหว่างสหรัฐกับชาติพันธมิตรตะวันตกจากเหตุการณ์ประชุมนาโตและการถอนตัวจากข้อตกลง paris Accord ล้วนสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อระเบียบโลกที่ฝังรากมานานและเขย่าดุลยภาพการเมืองของโลกอย่างรุนแรง ไม่มีใครหรือสถาบันใดในขณะนี้จะสามารถชี้ชัดได้ว่า โลกในปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไรไม่ว่าเศรษฐกิจหรือการเมือง

โดยอันที่จริงแล้วศักยภาพของเอเชียไม่ใช่เพิ่งจะเกิด แต่ได้เกิดและสั่งสมกันมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว เพียงแต่เกิดขึ้นในระดับประเทศหรืออนุภูมิภาค  มาช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้เอง ที่ศักยภาพของทั้งภูมิภาคได้เปล่งประกายอย่างเจิดจ้า และประเทศไทยคือหนึ่งในนั้น เนื่องจาก  ประเทศไทยแม้จะไม่ใช่ประเทศใหญ่แต่ก็มีศักยภาพ ด้วยการเป็นประเทศที่พร้อมมูลด้วยทรัพยากร และด้วยตำแหน่งที่อยู่ใจกลาง mainland ของอาเซียนและ clmvt ที่เป็นหัวใจของ supply chain และ logistic แห่งเอเชีย ยิ่งเมื่อจีนประกาศโครงการ one belt one road ที่นานาประเทศให้ความสนใจ ประเทศไทยยิ่งโดดเด่นเพราะอยู่บนเส้นทางเชื่อมระหว่าง one belt บนแผ่นดินใหญ่กับ maritime silk road ทางทะเล  ในอดีตพัฒนาการทางเศรษฐกิจของไทยเคยโดดเด่นถึงขนาดถูกจัดนับให้เป็นเสือตัวใหม่แห่งเอเชียก่อนที่จะต้องเผชิญวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ของเอเซียเมื่อปี 2540 และต้องเผชิญความพลิกผันทางการเมืองตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งมีผลฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและบดบังศักยภาพของประเทศอย่างไม่ควรจะเป็น ทศวรรษที่ผ่านมาถือเป็น lost decade หรือทศวรรษที่สูญเปล่าอย่างไร้ค่า แต่บัดนี้ เมฆหมอกแห่งความมืดมนเหล่านี้ได้ผ่านพ้นไปแล้วอย่างน่ายินดี

ตลอดสามปีที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของท่านประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ใช้วิกฤติเป็นโอกาสให้กับประเทศ ในด้านหนึ่งได้นำประเทศกลับคืนสู่ความสงบและความมีเสถียรภาพที่มีความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนาประเทศ และก้าวตาม roadmap การเมืองที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งในปีหน้า ทุกสิ่งจะเป็นไปตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ในขณะเดียวกันในด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ผล นำความเชื่อมั่นกลับคืนมาด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากที่ตกต่ำลงมาถึงขีดสุดสุดที่ร้อยละ 0.8 เมื่อ 3 ปีที่แล้ว กลับฟื้นคืนมาที่ร้อยละ 2.9 และ 3.2 ในปีที่ผ่านมา และล่าสุดที่ร้อยละ 3.3 ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าค่าเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ร้อยละ 3.5 หรือสูงกว่า โดยที่หนี้สาธารณะต่อ GDP ของประเทศอยู่ในระดับที่ไม่เกินร้อยละ 45  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในยามที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะถดถอยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา  และไม่เพียงเศรษฐกิจใน real sector เท่านั้นที่มีการขยายตัวอย่างน่าพอใจ ตลาดทุนของประเทศก็ฟื้นตัวโดยลำดับ