น่าสังเกตว่าขณะนี้ร้านขายเครื่องสำอางในสหรัฐฯ เช่น Sephora แบรนด์เครื่องสำอางชื่อดังของฝรั่งเศส ที่มีสาขากว่า 600 สาขาในสหรัฐฯ และมีสินค้าเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ
“ถ่านชาโคล” (Charcoal) วางขายอยู่ในร้านมากขึ้น ซึ่งความนิยมอย่างแพร่หลายของ
“ถ่านชาโคล” ที่เกิดขึ้นตอนนี้ มาจากการรายงานทางวิทยาศาสตร์ถึงคุณสมบัติพิเศษที่สามารถช่วยดูดซับสารพิษในร่างกายของผู้บริโภคได้
Ms. Jessica Richards เจ้าของร้านขายเครื่องสำอาง SHEN ที่นิวยอร์ก มีสินค้าเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ “ถ่านชาโคล” วางขายอยู่จำนวนมากกล่าวว่า เราเพียงแค่บอกสรรพคุณพิเศษของถ่านชาโคลในการดูดซับสารพิษในร่างกายให้ผู้บริโภคเข้าใจ เพียงเท่านี้ พวกเขาก็ต่างไม่ลังเลที่จะซื้อสินค้าที่มีถ่านเป็นส่วนประกอบไปใช้
ความนิยมของ “ถ่านชาโคล” ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงกระแสนิยมอันฉาบฉวย เพราะจากรายงานพบว่ามีการใช้ “ถ่านชาโคล” ในหลายอุตสาหกรรมมาเป็นเวลากว่า 100 ปีมาแล้ว โดย Hippocrates บิดาแห่งการแพทย์ธรรมชาติ ได้เคยใช้ “ถ่านชาโคล” ในการรักษาอาการลมบ้าหมู โลหิตจาง ถอนพิษให้ผู้ป่วย และ “ถ่านชาโคล” ยังเป็นวัตถุดิบในการผลิตยาถอนพิษในปัจจุบัน ในยุคอียิปต์โบราณมีการนำถ่านมาใช้รักษาบาดแผลและรักษาระบบการย่อยอาหาร นอกจากนั้นยังนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของยาสีฟันในญี่ป่นอีกด้วย
Ms. Lizz Starr ผอ.ฝ่ายบริหารพัฒนาผลิตผลิตภัณฑ์บริษัทเครื่องสำอางรายใหญ่ของโลกอย่าง Origin กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้ริเริ่มเอาถ่านมาใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางตั้งแต่ปี 2533 โดยเริ่มเปิดตัวจากที่มาสค์หน้า โดย “ถ่านชาโคล” จะช่วยดึงสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนให้หลุดออกไป และแม้ว่าปัจจุบันบริษัทฯจะได้เปิดตัวสินค้าที่มีส่วนผสมของ “ถ่านชาโคล” ประเภทใหม่ๆแต่มาสค์หน้าตัวนั้นก็ยังคงได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย
นอกจากการใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแล้ว ยังได้พัฒนามาใช้กับสินค้าประเภทบำรุงผมด้วย Ms. Nancy Twine ผู้ก่อตั้งสินค้าบำรุงผมแบรนด์ Briogeo กล่าวว่า ปัญหาหนังศีรษะส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการสะสมของสิ่งสกปรก ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน การถอนพิษหนังศีรษะจึงถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ผู้บริโภคมีสุขภาพเส้นผมดียิ่งขึ้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่บริษัทฯได้เลือกเอาถ่านมาเป็นส่วนผสมในการผลิตสินค้าในขณะนี้
ปัจจุบันมีการใช้ “ถ่านชาโคล” ผลิตสินค้าหลายประเภท แม้แต่สินค้าระงับกลิ่นกาย ทำให้ผู้บริโภคบางรายเริ่มเกิดความสงสัยในคุณสมบัติว่าจะมีประโยชน์ดังคำกล่าวอ้างหรือไม่ Frank Lipman แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แบบผสมผสาน และผู้ก่อตั้งศูนย์ดูแลสุขภาพ Eleven Eleven Wellness Center เมืองนิวยอร์ก ก็ได้ย้ำความเชื่อมั่นว่า “ถ่านชาโคล” มีประโยชน์จริง เพราะสามารถดูดสารพิษได้ ทำให้เราสามารถทำความสะอาดผิวได้ง่ายและสะดวกขึ้น แต่การบริโภคมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อการดูดซึมวิตามิน สารอาหารและยาได้ ดังนั้นจึงไม่ควรบริโภคเกิน 1,000 มก. ต่อวันและไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
แต่ก็มีแพทย์บางรายไม่เชื่อว่าถ่านจะมีคุณสมบัติมหัศจรรย์อย่างกล่าวอ้าง เช่น Robert Anolik แพทย์ผิวหนังเมืองนิวยอร์ก กล่าวว่า ณ ขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยใดที่มีชี้ชัดว่าถ่านมีประโยชน์ ทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง อย่างไรก็ตามการใช้ผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของถ่านก็ไม่น่าจะส่งกระทบร้ายแรงต่อผู้ใช้
ผู้บริโภคชาวอเมริกันรุ่นใหม่โดยเฉพาะกลุ่ม Millennials มีรสนิยมและความต้องการในการบริโภคสินค้าที่แตกต่างจากกลุ่มผู้บริโภคอื่นโดยสิ้นเชิง พวกเขานิยมสินค้าที่ใช้วัตถุดิบหรือส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น สินค้าเกษตรอินทรีย์ ออร์แกนิก ฯลฯ “และยังให้ความสำคัญต่อการเลือกซื้อสินค้าจากธุรกิจที่ใส่ใจธรรมชาติหรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม มากกว่าสินค้ากระแสหลักที่มุ่งแต่การแสวงหากำไรเพียงอย่างเดียว” โดยความนิยมนี้เริ่มจากสินค้ากลุ่มอาหารและขยายความนิยมสู่กลุ่มสินค้าอื่นๆ เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ และสำอาง เป็นต้น
โดยกลุ่มอาหารและเครื่องสำอางที่มีสรรพคุณพิเศษในการกำจัดหรือถอนพิษ (Detox) และการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ (Antioxidant) มักจะได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคอันดับต้นๆ โดยเฉพาะกล่มผู้บริโภคที่ยู่ตามเมืองใหญ่ นั่นเพราะพวกเขาต้องใช้ชีวิตใกล้ชิดกับมลพิษและสารเคมี ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ นอกจากนั้นกระแสความนิยมในสินค้าสมุนไพร เช่น ขมิ้นชัน ก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย นี่จึงเป็นโอกาสของ SMEs ไทยที่ต้องเร่งนำค่านิยมนี้มาผลิตสินค้าขายในประเทศ และหากผู้ประกอบการไทยต้องการขยายตลาดในสหรัฐฯและที่อื่นๆ ก็จะต้องควบคุมมาตรฐานการผลิตรวมถึงคุณภาพสินค้าให้ตรงตามมาตรฐานที่องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (US. FDA.) กำหนดไว้เพื่อลดปัญหาการปฏิเสธนำเข้า
Credit images | dmagazine.com, tastethestyle.com