รับมือ AI แย่งงานคน


กระแสที่มาแรงของหุ่นยนต์หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) ในเวลานี้เป็นเรื่องที่หลายกลุ่มคนกำลังหวั่นวิตกอย่างมาก นั่นเพราะในโลกของเราไม่มีประวัติศาสตร์หน้าไหนจะบอกเล่าการพัฒนาอย่างรวดเร็วเท่านี้มาก่อน บวกกับหลายบริษัทด้านเทคโนโลยีชั้นนำต่างกระตุ้นการพัฒนา AI อย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนต้องทำความเข้าใจ ว่าเจ้า AI นี้จะส่งผลต่อชีวิตและความมั่นคงของพวกเรายังไงบ้าง

AI แย่งงานคนแน่ ต้องปรับตัวเพื่อสร้างโอกาส

ดร.สเตฟาน เวสส์ CEO จาก Empolis บริษัทไอทีชื่อดังจากเยอรมัน ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ กล่าวว่าการปฏิวัติครั้งที่ 4 นี้ หุ่นยนต์จะไม่ได้อยู่แค่โรงงานแต่จะอยู่ที่บ้าน, ในโรงพยาบาล และคาดว่า AI จะเข้ามาแย่งงานคนอย่างแน่นอน เนื่องจากความก้าวหน้าของ AI ช่วยให้เราลดการจ้างงานได้ถึง 90% ซึ่งมนุษย์ก็คือกุญแจสำคัญต่อการส่งเสริมให้โลกเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูของ AI และเราก็ต้องมาคิดต่อว่าจะสร้างเทคโนโลยีนี้ให้เกิดโอกาสและลดความเสี่ยงในการเข้ามาแย่งงานคนได้ยังไง เพราะแม้แต่รัฐบาลสหรัฐก็ยังต้องมีแผนรับมือกับ AI ไว้แล้ว เราต้องคิดว่าจะหยุดแค่นี้หรือเดินหน้าต่อไป แต่สำหรับเขา เขาเลือกที่จะก้าวไปต่อเพราะมันสามารถคิดค้นวิธีรักษาโรค และทำงานแทนเราได้ ทำให้เรามีเวลาสร้างสรรค์มากขึ้น

แรงกระเพื่อมจากเทคโนโลยี สัญญาณชัดสู่ยุค AI

McKinsey Global Institute องค์กรด้านงานวิจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม และภูมิศาสตร์การเมืองระดับโลก ได้ชี้ชัดว่าในอนาคตจะมีเทคโนโลยี 12 ประเภท ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งภายในปี 2025 เทคโนโลยีเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมกว่า 14 – 33 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี ได้แก่

  1. อินเทอร์เน็ตไร้สาย
  2. เทคโนโลยีอัตโนมัติในด้านการวิเคราะห์
  3. Internet of Things
  4. Cloud Computing
  5. เทคโนโลยีหุ่นยนต์
  6. ยานพาหนะไร้คนขับหรือกึ่งไร้คนขับ
  7. เทคโนโลยีชีวภาพ (genomics)
  8. อุปกรณ์หรือระบบกักเก็บพลังงาน
  9. เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ
  10. เทคโนโลยีวัสดุชาญฉลาด
  11. เทคโนโลยีสำรวจและขุดเจาะน้ำมัน
  12. เทคโนโลยีพลังงานทดแทน

ด้าน พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ระบุถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆขึ้น เช่น จีนกำลังทดสอบนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ควบคู่กับเงินหยวน, ปี 2030 เยอรมันจะหยุดผลิตรถที่ใช้น้ำมันพร้อมหยุดการใช้ถ่านหิน, ปี 2050 ฝรั่งเศสประกาศว่าจะเลิกใช้น้ำมันในยานยนต์ทั้งหมด โดยในปี 2025 รถจำนวน 25% ของรถทั้งหมดที่ขายในตลาดจะใช้ไฟฟ้า 100% และไม่ใช้น้ำมัน

ขณะนี้บริษัททั่วโลกกว่า 56% ได้โหมการลงทุนด้าน AI อย่างหนัก เช่น

  • Apple ได้เริ่มลงทุนในโครงการ virtual assistant, Facebook ลงทุนเปิด AI Lab 3 แห่ง และเพิ่งตั้ง Lab ใหม่ในปารีส
  • Google ทุ่มซื้อบริษัท AI Startup หลายบริษัท เพื่อพัฒนาโครงการต่างๆ เช่น แปลภาษา, อ่านภาษา, แปลความหมายจากภาพ, การจัดอันดับ ranking, การพยากรณ์อนาคตในด้านต่างๆ
  • ส่วน Amazon กำลังลงทุนในโครงการ AI ที่เกี่ยวกับวิเคราะห์ Big data เพื่อติดตามพฤติกรรมของลูกค้าแบบ realtime ฯลฯ

สายอาชีพที่รับผลกระทบหนักจาก AI

มีการคาดการณ์ว่าในปี 2055 หรือในอีก 38 ปีนับจากนี้ AI จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ไปกว่า 50% และหากมนุษย์ปรับตัวไม่ทันก็จะอยู่ในสภาวะคนตกงานหรือไม่มีงานทำ ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลายบริษัทที่สามารถสร้างเม็ดเงินมหาศาลได้จากการใช้พนักงานไม่กี่คนเพราะพวกเขาใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆเข้ามาช่วยลดต้นทุน แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ไช่การตกงานแต่จะมีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถหาเงินเองได้ ฉะนั้นเรามาดูกันว่าอนาคตอันใกล้นี้จะมีงานอะไรบ้างที่กำลังจะถูก AI แย่งไป

  • พนักงานฟาสฟู้ดและพนักงานทั่วไป ขณะนี้ในสหรัฐฯเริ่มมีการใช้หุ่นยนต์ในการปรุงอาหารเองได้แล้ว และพวกมันสามารถสร้างผลผลิตได้มากกว่าคนถึง 3 เท่า ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายไม่แพงเท่าการใช้คนทำงาน ทำให้หลายๆบริษัทในสหรัฐฯเริ่มสร้างระบบ automated
  • นักข่าว นักกฎหมาย นักเขียน ปัจจุบัน AI Bot ได้เข้ามาแทนที่อาชีพนักข่าวไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นการพัฒนา algorithm สำหรับเขียนข่าวด้านต่างๆ โดยสำนักข่าว Frobes เป็นลูกค้าที่ใช้งานอยู่ในขณะนี้ ส่วนด้านนักกฎหมายก็มีการพัฒนาในชื่อ   Do not Pay โดย Joshua Browder  เด็กหนุ่มวัย 20 ที่ถูกเรียกค่าปรับอย่างไม่เป็นธรรม  เขาจึงพัฒนา AI ขึ้นมาช่วยเหลือคนที่ประสบปัญหาเดียวกัน โดยให้ผู้ประสบปัญหากรอกแบบสอบถาม แล้วให้ปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์ว่าทำผิดหรือไม่ ซึ่งหากวิเคราะห์แล้วว่าไม่ผิด มันจะร่างจดหมายโต้แย้งให้ลูกความอัตโนมัติ   ซึ่งในผู้เข้าร่วม 250,000 รายสามารถชนะคดีได้ถึง 160,000 คดี
  • หมอ ขณะนี้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ใช้ AI จาก IBM Watson เพื่อเข้ามาช่วยวิเคราะห์โรคมะเร็งใน ทำให้หมอสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย AI จะอ้างอิงจากข้อมูลประวัติผู้ป่วย, หลักฐานทางการแพทย์, เอกสารทางวิชาการ และข้อมูลจาก Memorial Sloan-Kettering (MSK) ศูนย์รักษามะเร็งชั้นนำของโลก มาวิเคราะห์ ประมวลผล และสรุปออกมาเป็นทางเลือกในการรักษา ทั้งในต่างประเทศ ก็เริ่มนำมันไปพัฒนาเป็นหุ่นยนต์สำหรับดูแลผู้ป่วยอีกด้วย
  • คนขับรถ Uber และ Lyft ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ในฯเปิดเผยว่า กำลังพัฒนารถอัตโนมัติหรือรถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งตอนนี้อยู่ขั้นทดสอบ ข้อดีของมันคือมีความปลอดภัยกว่าคนขับปกติ เพราะ AI ไม่มีข้อจำกัดด้านร่างกานและอารมณ์เหมือนมนุษย์
  • นักแปลภาษา Google ได้พัฒนาการแปลภาษาที่เรียกว่า Google Briain สามารถสร้างภาษากลางขึ้นมาได้ โดยที่มันจะแปลงจากอีกภาษาหนึ่ง มาเป็นภาษากลาง พร้อมกับแปลงไปเป็นอีกภาษาที่ผู้ใช้ต้องการ
  • บริการรับส่งของ การใช้ AI เพื่อรับส่งสินค้าเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในโรงแรม เช่น Aloft ที่นำหุ่นยนต์ Botlr มาช่วยจัดส่งผ้าขนหนูและของใช้ในห้องน้ำให้ลูกค้า โดยในอนาคตคาดว่าจะมีการพัฒนาหุ่นยนต์ปใช้ในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ขึ้น
  • พนักงาน Call Center ทุกธุรกิจที่ต้องใช้พนักงานให้ข้อมูลในอนาคตจะถูกแทนที่ด้วย AI ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารกับลูกค้า การแนะนำสิ่งที่ดีที่สุด ตอบคำถามได้เร็ว พร้อมสามารถเก็บข้อมูลลูกค้ามาวิเคราะห์สิ่งที่ลูกค้าต้องการ ที่สำคัญยังพร้อมทำงาน 24 ชั่วโมงอีกด้วย
  • ครู ขณะนี้ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้ใช้ AI เพื่อสอนพูดภาษาอังกฤษแล้ว นอกจากนั้น IBM Watson ยังเป็นครูที่ปรึกษาให้แก่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ดพร้อมตอบคำถามต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งนักเรียนเหล่านั้นต่างไม่รู้

มนุษย์ต้องปรับตัวยังไงให้อยู่รอด

World Economic Forum ได้รวบรวม 10 ทักษะที่จำเป็นต้องมีในปี 2020 ไว้ดังนี้

  1. การแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อน (Complex Problem Solving)
  2. การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)
  3. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)
  4. การบริหารจัดการคน (People Management)
  5. การประสานงานร่วมกับผู้อื่น (Coordinating with Others)
  6. ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence)
  7. การตัดสินใจ (Judgment and Decision Making)
  8. การคิดเชิงการให้บริการ (Service Orientation)
  9. การต่อรอง (Negotiation)
  10. ความยืดหยุ่นในการปรับกระบวนการคิดให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ (Cognitive Flexibility)

เรียนอะไรไม่ตกงาน

  • คณิตศาสตร์ประยุกต์
  • วิทยาการคอมพิวเตอร์ (เน้นการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์)
  • วิทยาการข้อมูล (Data Science)
  • วิศวกรรมไฟฟ้าด้าน Robot, Digital Signal Processing, AI, Photovoltaic (Solar)
  • Bio Tech, Healthcare
  • การบริหารงานนวัตกรรมและเทคโนโลยี ฯลฯ

“ไม่อยากถูกหุ่นยนต์แย่งงาน ต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ”

แหล่งข้อมูล

themomentum

it24hrs

theeleader